SCB CIO แนะทยอยสะสมหุ้นกู้เอกชนทั่วโลกชั้นดีระดับA-ขึ้นไป  หลังคาดครึ่งหลังของปีนี้แนวโน้มเงินเฟ้อและดอกเบี้ยเริ่มลดอัตราเร่งลง

0
1414

SCB CIO  ประเมินในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แนวโน้มเงินเฟ้อและดอกเบี้ยเริ่มอยู่ในช่วงทยอยลดอัตราเร่งลง ประกอบกับเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มการเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง  ส่งผลให้เส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรเริ่มทยอยปรับลดลง (Yield curve)  สะท้อนจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.8-3 % ต่อปี จากเดิมอยู่ที่ 1.5% ต่อปี ในช่วง  5 เดือนที่ผ่านมา จึงมองเป็นโอกาสในการทยอยสะสมตราสารหนี้ต่างประเทศ และไทย ประเภทหุ้นกู้ชั้นดีของบริษัทเอกชน  ที่มีเครดิตเรตติ้งระดับ Investment Grade ตั้งแต่ A- ขึ้นไป  ให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (Non- Investment Grade )  และตราสารหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยสูงแต่มีระดับ Credit rating ต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ พร้อมหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนของจีน โดยเฉพาะหุ้นกู้ High Yield ในภาคอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องจากผลกระทบของการระบาดของโควิดในจีนและการกลับมาใช้นโยบายปิดเมือง

นายศรชัย สุเนต์ตา   ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment office (SCB CIO )  ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า   ภาพรวมการลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง  เช่น ตลาดหุ้นโลก ยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงประเมินการลงทุนในตลาดตราสารหนี้และกองทุนตราสารหนี้ เห็นว่า ระดับราคาในปัจจุบัน เริ่มมีความน่าสนใจ จากการที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ทั้งอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวเริ่มปรับตัวขึ้นถึงระดับที่คาดว่ารับข่าวการขึ้นของดอกเบี้ยนโยบายที่จะเกิดขึ้นอีกหลายครั้งในอนาคตตลอดทั้งปี 2022 ไปแล้ว แม้ว่าความผันผวนในตลาดตราสารหนี้ยังคงมีอยู่ก็ตาม แต่การปรับขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรและหุ้นกู้เอกชน นับจากนี้ไปจะไม่รุนแรงเหมือนช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา  และความผันผวนน่าจะทยอยลดลงจากการคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ มีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดในไตรมาส 2 นี้ และจะทยอยปรับลดลง ทำให้ผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนในตลาดตราสารหนี้โลก ที่ราคาจะปรับตัวลดลงเหมือนช่วง 5 เดือนแรก มีโอกาสน้อยลง 

  SCB  CIO จึงแนะนำให้เริ่มทยอยลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนและกองทุนตราสารหนี้ ทั้งตราสารต่างประเทศและตราสารหนี้ไทยที่มีอันดับเครดิตมีความน่าเชื่อถือสูง ( Investment Grade )  เช่น หุ้นกู้ของบริษัทเอกชนที่มีอันดับตั้งแต่  A – ขึ้นไป  โดยสามารถเพิ่มอายุเฉลี่ยการลงทุน และลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุยาวขึ้นได้  แต่ให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกองทุน high yield  กลุ่มตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ (Non-Investment Grade) และตราสารหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยสูงแต่มีระดับ credit rating ต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (High Yield) เพราะเศรษฐกิจข้างหน้ามีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงอาจจะส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทที่มี balance sheet ไม่แข็งแรงได้

สำหรับภาพรวมการลงทุนในตลาดตราสารหนี้โลก ตั้งแต่ต้นปียังคงได้รับผลกระทบจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับตัวลดลงมาก เนื่องจากผลกระทบของทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นที่รวดเร็วและขนาดการขึ้นที่ใหญ่กว่าเดิม นำโดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เช่นเดียวกับตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากทั่วโลก หากพิจารณาผลตอบแทนของตราสารหนี้ในทุกกลุ่มตั้งแต่ต้นปี ติดลบเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย (duration) ยาวและตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ (Non-Investment Grade) รวมถึงตราสารประเภทที่จ่ายผลตอบแทนสูงแต่ถูกจัดอันดับต่ำกว่าอับดับที่ลงทุนได้ (High Yield) ซึ่งการลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบมากจากการที่ Fed มีการเปลี่ยนแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่การขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงและรวดเร็วเพื่อควบคุมระดับเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี ประกอบกับการที่มีภาวะเงินทุนไหลออกจากตลาดตราสารหนี้โลกและสหรัฐฯ ในช่วงที่เงินเฟ้อและสงครามรัสเซีย-ยูเครนปะทุความรุนแรงทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ลดขนาดของการลงทุนลง หันมาเพิ่มการถือครองเงินสดและถือสภาพคล่องมากกว่าระดับสถานการณ์ปกติ ทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Government Yield Curve) และเส้นอัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยหุ้นกู้ภาคเอกชน (Corporate Yield Curve) ต่างปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้ราคาพันธบัตรและหุ้นกู้ภาคเอกชนปรับลดลงมาก (ราคาตราสารหนี้แปรผกผันกับอัตราดอกเบี้ย)

นายศรชัย    กล่าวต่อไปว่า ตลาดตราสารหนี้โลกรับรู้ผลกระทบ (price in) ในประเด็นดอกเบี้ยขาขึ้นและผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้โลกไปแล้ว มองว่าในปัจจุบันตลาดตราสารหนี้เริ่มกลับมามีความน่าสนใจ สังเกตจากการที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ได้ปรับขึ้นจากระดับเฉลี่ยในช่วงต้นปีที่ 1.5% ต่อปี มาอยู่ที่ระดับ 2.8-3% ต่อปี ในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัวในช่วงเวลาเพียง 5 เดือน

ทั้งนี้ SCB CIO ประเมินระดับเงินเฟ้อในสหรัฐฯ มีแนวโน้มผ่านจุดสูงสูดในช่วงไตรมาส 2 และกำลังจะทยอยปรับลดลงในระยะข้างหน้าถึงแม้เงินเฟ้ออาจปรับลดลงช้ากว่าที่คาดจากเรื่องภาวะสงครามและวิกฤตพลังงานและอาหารที่ยังอาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม  จึงมองว่าทิศทางภาพใหญ่ของแนวโน้มเงินเฟ้อและดอกเบี้ยเริ่มอยู่ในช่วงการทยอยลดอัตราเร่งลง แม้เงินเฟ้อและระดับดอกเบี้ยพันธบัตรยังอยู่ในช่วงขาขึ้น  แต่อัตราการเร่งขึ้นจะทยอยช้าลงและสามารถลดระดับลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปีประกอบกับปัจจัยตลาดมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มมีแนวโน้มการติบโตในอัตราที่ชะลอลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดได้ว่าอนาคต เส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve) อาจจะเริ่มทยอยปรับลดลง จึงมองโอกาสการลงทุนอยู่ในหุ้นกู้ชั้นดีของบริษัทภาคเอกชนโลก เช่น ตราสารหนี้ระดับ Investment Grade เช่น อันดับ A – เป็นต้นไป มีความน่าสนใจจากผลตอบแทนที่สูงขึ้นมาก นักลงทุนสามารถทยอยกลับเข้ามาลงทุนได้ อย่างไรก็ดี แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มตราสาร Non-Investment Grade เนื่องจากมีโอกาสการผิดนัดชำระหนี้ (default rate) อาจเพิ่มขึ้นได้ในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว รวมถึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนของจีน โดยเฉพาะหุ้นกู้ High Yield ของจีนในภาคอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมองเศรษฐกิจจีนอยู่ในแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากผลกระทบของการระบาดในจีนและการกลับมาใช้นโยบายปิดเมือง

ด้านหุ้นกู้ภายในประเทศไทย เช่น หุ้นกู้ภาคเอกชน มองว่าดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวของไทยได้ปรับขึ้นตามดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯไปแล้วสะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในตลาดทั่วโลกจากเงินเฟ้อสูง แม้ว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังไม่ปรับขึ้นก็ตามเพราะเศรษฐกิจไทย พึ่งเริ่มฟื้นตัวและค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่า อีกทั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ตลาดตราสารหนี้ไทยจึงเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น ทั้งจากดอกเบี้ยนโยบายไทยที่จะขึ้นช้ากว่าเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายประเทศอื่น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ และหากจะมีการปรับขึ้น เราคาดว่าระดับการขึ้นของดอกเบี้ยนโยบายไทย จะน้อยกว่าประเทศสหรัฐ ดังนั้นการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนไทยที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ investment grade เช่นอันดับ A – เป็นต้นไป จึงน่าสนใจทยอยเข้าลงทุนเช่นกัน

SCB CIO แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ ต้องพิจารณาทั้งจากสัดส่วนการลงทุนและอายุเฉลี่ยตราสารในการลงทุน แนะจัดสัดส่วนประเภทของตราสารหนี้ให้เหมาะกับความเสี่ยงของการลงทุน โดยพิจารณาจากอันดับความน่าเชื่อถือและประเภทของตราสาร ด้านอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นรุนแรงก่อนหน้า จะเน้นอายุเฉลี่ยของตราสารที่สั้นไม่เกิน 1-2 ปี แต่ในระยะข้างหน้า แนะนำสามารถเพิ่มอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ขึ้นได้ โดยทยอยเพิ่ม duration ของพอร์ตการลงทุน เน้นเลือกหุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง เช่น อันดับตั้งแต่ A- ขึ้นไปเนื่องจากค่อนข้างมีความปลอดภัยสูง และคาดว่าจะมีความสามารถในการชำระหนี้และจ่ายดอกเบี้ยได้แม้ในช่วงเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว ทั้งนี้ จึงมองว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ และ ตราสารหนี้โลกและตราสารหนี้ไทยที่มีคุณภาพตราสารดี (Investment Grade) ต่อจากนี้ไป จะมีความเสี่ยงด้านต่ำ (downside risk) ที่น้อยกว่าช่วงต้นปี อย่างไรก็ดี ยังแนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มตราสารหนี้อันดับความน่าเชื่อถือต่ำ (Non-Investment Grade) และตราสารหนี้ที่ต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (High Yield) เนื่องจากอาจมีโอกาสผิดนัดชำหระหนี้สูงขึ้นได้ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัว