On Leadership

0
4883

ผู้นำในยุคปัจจุบัน เจอความกดดันในการสร้างและรักษาผลงานจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วกว่าสมัยก่อนหลายเท่าตัว ในขณะเดียวกัน ผู้นำก็ไม่ได้เป็นคนลงมือทำงานในทุกๆจุด โดยส่วนใหญ่แล้ว เป็นการทำงานผ่านคนที่ได้รับมอบหมายในแต่ละตำแหน่งหน้าที่ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้และเข้าใจวิธีการทำงานผ่านลูกน้องเพื่อให้มีโอกาสสูงขึ้นที่จะได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง

ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้นำที่จะต้องรู้ว่า ที่ผ่านมา เราเป็นคนถนัดใช้วิธีการแบบไหนในการทำงานร่วมกับทีมงาน เราเป็นผู้นำสไตล์ออกคำสั่ง บอก ขายไอเดีย หรือสไตล์โค้งชิ่งและสอน ซึ่งในแต่ละรูปแบบของการนำ ก็มีทั้งข้อดี ข้อด้อย และมีความเหมาะสมที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1.การออกคำสั่ง

ผู้นำเป็นคนออกคำสั่งให้ผู้คนปฏิบัติตาม เป็นวิธีที่ใช้เวลาน้อย เหมาะกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีทางเลือกจำกัด หรือหากอยู่ในสถานการณ์ปกติ ถ้าผู้นำใช้สไตล์ออกคำสั่ง สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือผู้ตามอาจรู้สึกฝืนใจ ขาดการมีส่วนร่วม ไม่ได้มีความลึกของการเรียนรู้ ไม่มีความมุ่งมั่นและความเข้าใจในสิ่งที่เกี่ยวข้อง และไม่ถูกพัฒนาความเป็นผู้นำ

2.บอกให้ทำ

วิธีนี้ผู้นำใช้วิธีการบอกให้ทำ มีลักษณะความเป็นมิตรที่มากกว่าการออกคำสั่ง และคาดหวังให้ผู้ตามปฏิบัติตามคำบอก ถือเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติงานร่วมกัน ยังเป็นวิธีที่ไม่มีความลึกของการเรียนรู้ ไม่มีความมุ่งมั่นและเข้าใจ รวมถึงการไม่ได้ช่วยในเรื่องการพัฒนาคนเช่นเดียวกันกับวิธีออกคำสั่ง

3.ขาย

ผู้นำจะขายไอเดีย พูดคุยเรื่องทำอะไร ทำอย่างไรและทำไมต้องทำ ใช้รูปแบบการชี้ชวนให้ผู้ตามเห็นภาพ ถือเป็นรูปแบบของความร่วมมือ ซึ่งวิธีนี้จะใช้เวลามากขึ้นกว่าสองวิธีแรก เพื่อแลกกับการเรียนรู้ที่เพิ่มขึ้น และระดับของความมุ่งมั่นและความเข้าใจในสิ่งที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเป็นวิธีที่เริ่มจะมีทรงของการพัฒนาคนให้รู้จักคิดไปด้วย

4. โค้ชหรือสอน

ผู้นำจะเป็นทั้งหัวหน้างาน เป็นโค้ชและคนสอนไปในตัว วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้เวลามากกว่าทั้งสามวิธีข้างต้น แต่ให้ผลในระยะยาวที่ดีกว่า เป็นวิธีสร้างการมีส่วนร่วม ทำให้เกิดการเรียนรู้ทั้งสองฝ่าย อีกทั้งแสดงออกถึงความมุ่งมั่นของผู้นำที่ต้องการสร้างคนและสร้างงานผ่านการสร้างคน วงจรของความสร้างสรรค์จะเกิดขึ้น ถือเป็นต้นกำเนิดของการส่งต่อความสำเร็จที่ยั่งยืน

จากวิธีการนำทั้งหมดสี่วิธีที่นำเสนอมา ถ้าใครสามารถปรับใช้วิธีที่สามคู่กับวิธีที่สี่ ก็จะช่วยยกระดับภาวะความเป็นผู้นำของตัวเราให้สูงขึ้น เป็นทั้งผู้นำที่โน้มน้าวใจคนและสอนคนให้เป็นคนที่ดีขึ้นและเก่งขึ้น นี่แหละคือผู้นำที่โลกยุคใหม่ต้องการ เพราะคนรุ่นสมัยนี้ กล้าที่จะแสดงตนเพื่อขอสิทธิ์การเป็นคนเต็มขั้น ที่ไม่ยอมให้ใครมองเป็นวัตถุสิ่งของ ต้องการให้มองเป็นคนที่มีความต้องการ มีความปรารถนาและความรู้สึก ถ้าเราซึ่งเป็นผู้นำตระหนักรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ ปรับสไตล์ให้เข้ากับภาวะที่ท้าทายในโลกยุคปัจจุบัน เราจะมีทั้งความสุขและความสำเร็จที่มากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน