กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด
(มหาชน) ประเมินเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า
มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 34.30-35.00 บาท/ดอลลาร์ โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 35.03 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 34.84-35.19 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 7 เดือน
และปรับตัวผันผวนตามสถานการณ์การเมืองในประเทศรวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ยกเว้นเงินเยนและเงินฟรังก์สวิสในสัปดาห์ที่ผ่านมาท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ฟื้นตัวขึ้น
หลังสหรัฐฯรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 2.2%
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งต่ำกว่าคาด
โดยเป็นผลของราคาในภาคบริการที่ร่วงลง ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค.ของสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 2.9% และดัชนี CPI
พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานปรับขึ้น 3.2% ซึ่งน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 64
และใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม
ยอดค้าปลีกเดือนก.ค.ของสหรัฐฯสดใสเกินคาดและยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงผิดคาดทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯพุ่งขึ้นขณะที่ตลาดคลายความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ 430 ล้านบาท แต่ขายพันธบัตร 27,923
ล้านบาท
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี ให้ความเห็นถึงสถานการณ์ตลาดในสัปดาห์นี้ว่านักลงทุนจะติดตามงานสัมมนาเชิงวิชาการที่เมือง Jackson Hole ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)เป็นเจ้าภาพและมักใช้เป็นเวทีส่งสัญญาณทิศทางนโยบายโดยเฉพาะในรอบนี้ซึ่งวงจรดอกเบี้ยกำลังมาถึงจุดเปลี่ยน ทั้งนี้ ตลาดประเมินว่ามีโอกาสราว 27% ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง 50bp สู่ 4.75-5.00% และมีโอกาส 73% ที่จะลดดอกเบี้ย 25bp สู่ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. อนึ่ง โดยปกติแล้วช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัว เรามักจะได้รับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ผสมผสานเกี่ยวกับระดับของการชะลอตัว ซึ่งจะเพิ่มความผันผวนให้กับตลาดการเงิน เราประเมินว่าบริบทแวดล้อมดังกล่าวจะจำกัดแรงขายเงินเยนจากระดับปัจจุบัน
สำหรับปัจจัยในประเทศ ตลาดจะให้ความสนใจกับรายงานข้อมูลจีดีพีไตรมาส 2 นอกจากนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ด้วยมติไม่เป็นเอกฉันท์ในการประชุมวันที่ 21 ส.ค. ขณะที่ในภาพรวมนักลงทุนจะยังรอความชัดเจนเรื่องทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่