กรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 33.40-34.00 รอประเมินท่าทีเฟด

0
28

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.40-34.00 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดทรงตัวที่ 33.62 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 33.60-33.97 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินยูโรแต่แข็งค่าเมื่อเทียบกับเยนในสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงผันผวนสูงท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายและทิศทางการค้าโลก โดยประธานาธิบดี ทรัมป์กลับคําประกาศเกี่ยวกับการเพิ่มภาษีเหล็กและอลูมิเนียมของแคนาดาจาก 25% เป็น 50% อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าขยายวงหลังยุโรปตอบโต้ขึ้นกำแพงภาษีสินค้าสหรัฐฯ นอกจากนี้ ทรัมป์ปฏิเสธความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯและแสดงความมั่นใจว่าจะไม่เกิดภาวะถดถอยหลังจากมีท่าทีไม่ชัดเจนก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 8,406 ล้านบาท แต่มียอดซื้อพันธบัตรสุทธิ 9,345 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ จุดสนใจหลักจะอยู่ที่การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)วันที่ 18-19 มีนาคม ซึ่งคาดว่าจะตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.50% แม้เงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ของสหรัฐฯต่ำกว่าคาด โดยประธานเฟดได้เน้นย้ำว่าไม่รีบร้อนที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้ง ขณะที่นักลงทุนจะติดตามประมาณการดอกเบี้ย(Dot Plot) ชุดใหม่จากเจ้าหน้าที่เฟดรวมถึงการประเมินทิศทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ทั้งนี้ Dot Plot เมื่อเดือนธันวาคม 67 บ่งชี้ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลงสองครั้งในปีนี้และอีกสองครั้งในปี 69 ส่วนผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ)ในวันที่ 19 มีนาคม เราคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.50% โดยตลาดจะจับสัญญาณเพื่อประเมินจังหวะเวลาที่บีโอเจจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งถัดไปซึ่งเราคาดว่าน่าจะเป็นช่วงกลางปีนี้ อนึ่ง ในภาพรวมระยะนี้ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนจะถูกขับเคลื่อนโดยการคาดการณ์นโยบายการค้าของผู้นำสหรัฐฯและการตีความการสื่อสารของธนาคารกลางหลักต่างๆ ขณะที่การบรรลุข้อตกลงขยายงบประมาณใช้จ่ายทางการคลังของเยอรมันไม่น่าจะส่งผลกระทบเพิ่มเติมมากนักเนื่องจากค่าเงินยูโรได้สะท้อนประเด็นดังกล่าวไปค่อนข้างมากแล้ว

สำหรับปัจจัยในประเทศ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าระดับดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.00% เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ปัจจุบันและธปท.ไม่ต้องการที่จะปรับดอกเบี้ยบ่อยครั้ง โดยยังคงพิจารณาการเติบโตของเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพทางการเงิน