ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และ ETAP เปิดตัว Digital Twin แห่งแรกของโลก เพื่อจำลองความต้องการพลังงานของ AI Factory ตั้งแต่ระดับกริด จนถึงชิป ด้วยแพลตฟอร์ม NVIDIA Omniverse

0
87


● Digital Twin ให้ข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึกที่ละเอียดขึ้น ช่วยควบคุมระบบไฟฟ้าและความต้องการพลังงานของ AI Factory ได้ดียิ่งขึ้น
● ความร่วมมือด้านผลิตภัณฑ์นี้ ผสานรวมเทคโนโลยี Electrical Digital Twin ขั้นสูงของ ETAP เข้ากับ NVIDIA Omniverse™ Cloud APIs
● ผู้ประกอบการจะได้ประโยชน์ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ และช่วยลดต้นทุนการเป็นเจ้าของ

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ร่วมกับ ETAP ผู้นำเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมด้านการออกแบบและดำเนินงานด้านระบบพลังงาน เปิดตัวเทคโนโลยี Digital Twin ที่ล้ำหน้า สามารถออกแบบและจำลองความต้องการพลังงานของ AI Factory ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งแพลตฟอร์มต้นแบบ NVIDIA Omniverse™ Blueprint สำหรับ Digital Twin ใน AI Factory ช่วยให้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และ ETAP สามารถพัฒนา Digital Twin โดยรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายระบบ ทั้งระบบเครื่องกล ระบบระบายความร้อน ระบบเครือข่าย และระบบไฟฟ้า มาใช้จำลองการทำงานของ AI Factory ได้อย่างสมจริง โดยเป็นความร่วมมือในการปฏิรูปการออกแบบและการดำเนินการสำหรับ AI Factory ที่ให้ข้อมูลจากการวิเคราะห์ในเชิงลึกมากขึ้น ช่วยให้ควบคุมระบบไฟฟ้าและความต้องการด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ น่าเชื่อถือ อีกทั้งให้ความยั่งยืน

เดิมทีการแสดงภาพระบบไฟฟ้าสามารถทำได้แค่ในระดับพื้นฐาน แต่การผสานรวมเทคโนโลยีของ ETAP และ NVIDIA Omniverse ช่วยให้สามารถสร้าง Digital Twin สำหรับ AI Factory ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยที่องค์ประกอบต่างๆ สามารถตอบสนองการทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ซึ่งเทคโนโลยีการสร้างแบบจำลองอัจฉริยะของ ETAP จะสร้างแบบจำลองเสมือนจริงของโครงสร้างพื้นฐานระบบไฟฟ้าภายในดาต้าเซ็นเตอร์ พร้อมผสานเข้ากับข้อมูลระบบไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ รวมถึง การวิเคราะห์ขั้นสูงและข้อมูลเชิงลึก ซึ่งอัลกอริทึมอัจฉริยะ ช่วยให้สามารถวิเคราะห์และคาดการณ์การใช้พลังงานและรูปแบบการกระจายพลังงาน ช่วยให้สามารถมองเห็นข้อมูลเชิงลึกได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในประเด็นต่อไปนี้
● การออกแบบและจำลองระบบไฟฟ้าขั้นสูง
● การวิเคราะห์สถานการณ์ “What-If” ได้แบบไดนามิก
● การติดตามประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐานไฟฟ้าแบบเรียลไทม์
● การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานขั้นสูง

● การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์และการประเมินความน่าเชื่อถือของระบบ
● การวิเคราะห์ความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐานตามการใช้พลังงาน ที่ช่วยลดต้นทุนการเป็นเจ้าของ (total cost of ownership)

การทำงานของ AI ทั้งในระบบคลัสเตอร์สำหรับการเทรน AI ขนาดใหญ่ ตลอดจนเซิร์ฟเวอร์ประมวลผลที่เอดจ์ (edge inference servers) ล้วนส่งผลให้มีการใช้พลังงานในดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ต่างจากงานประมวลผลแบบเดิม การประมวลผล AI โดยเฉพาะการฝึกโมเดลและการประมวลผลแบบอนุมาน (inference) ที่ซับซ้อน ต้องใช้พลังในการประมวลผลสูง ทำให้เกิดความหนาแน่นของพลังงานต่อแร็คสูงขึ้นตามไปด้วย เมื่อ AI ถูกนำมาใช้มากขึ้น องค์กรขนาดใหญ่ ธุรกิจสตาร์ทอัพ ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ และบริษัทอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ จึงจำเป็นต้องปรับแนวทางในการออกแบบและบริหารจัดการดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ เพื่อให้รองรับความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความร่วมมือระหว่าง ETAP และ NVIDIA ในการเสนอแนวทาง “Grid to Chip” ช่วยรับมือกับปัญหาท้าทายที่สำคัญด้านการจัดการพลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และการใช้พลังงานในยุคของ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันผู้ดำเนินการดาต้าเซ็นเตอร์สามารถประเมินการใช้พลังงานโดยเฉลี่ยในระดับของแร็คได้ แต่ Digital Twin ใหม่ของ ETAP จะมุ่งเน้นที่การเพิ่มความแม่นยำในการจำลองพฤติกรรมโหลดแบบไดนามิกในระดับชิป เพื่อช่วยให้ออกแบบระบบพลังงานได้ดีขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้สูงสุด

ความร่วมมือดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้ง ETAP และ NVIDIA ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมในภาคธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ช่วยให้องค์กรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและจัดการกับความท้าทายของเวิร์กโหลด AI ได้อย่างมีประสิทธิผล โดยมุ่งเน้นที่การเพิ่มประสิทธิภาพดาต้าเซ็นเตอร์ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มศักยภาพและความน่าเชื่อถือของกริดอีกด้วย
ดิออน แฮร์ริส, ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายโซลูชั่น HPC และ AI Factory NVIDIA กล่าวว่า “เมื่อเวิร์กโหลดด้าน AI ขยายตัวมากขึ้นและทวีความซับซ้อนยิ่งขึ้น การบริหารจัดการพลังงานได้อย่างแม่นยำ คือสิ่งสำคัญที่ช่วยให้มั่นใจเรื่องประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ และความยั่งยืน โดยเราได้ร่วมมือกับ ETAP และ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์ สามารถมองเห็นและควบคุมพลังงานได้เหนือชั้นยิ่งกว่าที่ผ่านๆ มา ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและเร่งการนำ AI ไปใช้งานจริง อีกทั้งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงานได้”
ทานุจ คันเดลวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ETAP กล่าวว่า “ความร่วมมือนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เป็นการปฏิวัติวิธีการออกแบบ การบริหารจัดการ และการเพิ่มประสิทธิภาพดาต้าเซ็นเตอร์ในยุค AI โดยเชื่อมโยงความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมไฟฟ้า เข้ากับเทคโนโลยีเสมือนจริงและ AI ขั้นสูง เรากำลังสร้างมาตรฐานใหม่ในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน”

ปานกาจ ชาร์มา รองประธานบริหารฝ่ายดาต้าเซ็นเตอร์ เครือข่าย และการบริการ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวเสริม “ความร่วมมือ ความรวดเร็ว และนวัตกรรม คือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่จำเป็นสำหรับเวิร์กโหลด AI โดยทั้ง ETAP ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และ NVIDIA ไม่ใช่แค่พัฒนาเทคโนโลยีดาต้าเซ็นเตอร์ แต่เรากำลังช่วยเพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจ สามารถบริหารจัดการการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วยให้รับมือกับความต้องการด้านพลังงานสำหรับ AI ได้อย่างราบรื่น”