Dr. Jane Goodall ส่งสารแห่งความหวังด้านสิ่งแวดล้อม ในการประชุมสุดยอดความยั่งยืนของบริษัทพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล

0
1287
(PRNewsfoto/Procter & Gamble)
Dr. Jane Goodall นักอนุรักษ์ชื่อดังระดับโลก แบ่งปันวิธีการที่องค์กรต่างๆ สามารถใช้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในโลกของเรา ขณะที่บริษัทพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ได้ประกาศความคืบหน้าสู่เป้าหมาย Ambition 2030 ในการประชุมสุดยอดความยั่งยืนระดับภูมิภาคของ

พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (Procter & Gamble) (NYSE:PG) หรือ พีแอนด์จี (P&G) ประกาศว่า บริษัทได้จัดการประชุมสุดยอดความยั่งยืน (2022 Sustainability Summit) สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (AMA) ในหัวข้อ “Hope for our Home” เพื่อสำรวจว่าบริษัทต่างๆ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร รัฐบาล และชุมชนในวงกว้างสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไรเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง นำความหวังมาสู่โลก และทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นในรูปแบบออนไลน์ โดยมี Dr. Jane Goodall นักพฤติกรรมวิทยาและนักอนุรักษ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก, คุณ Rob Kaplan ผู้บริหารสูงสุดของ Circulate Capital Ocean Fund และคุณ Dia Mirza ทูตสันถวไมตรีของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ มาร่วมพูดคุยในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ Dr. Jane Goodall ได้หักล้างความเชื่อที่ว่าบริษัทเอกชนและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรยืนอยู่คนละข้างกัน โดยในการพูดคุยกับคุณMarc Pritchard ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายแบรนด์ของพีแอนด์จี เธอกล่าวว่า บริษัทขนาดใหญ่อย่างพีแอนด์จีสามารถดำเนินการเชิงบวกที่สามารถสร้างความตระหนักให้กับผู้คนทั่วโลก และกระตุ้นให้ผู้บริโภคลงมือทำสิ่งเล็กๆ ที่ยั่งยืนในชีวิตประจำวันได้

Dr. Jane Goodall กล่าวว่า “การเติบโตของ GDP ดูเหมือนจะมีความสำคัญมากกว่าอนาคตของลูกหลานเรา ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเลือกว่าจะสร้างผลกระทบแบบไหน เมื่อองค์กรต่างๆ อย่างเช่นพีแอนด์จีมาผนึกกำลังกันสร้างความเปลี่ยนแปลง เราก็มีความหวัง ถึงเวลาสร้างกรอบความคิดใหม่และเปลี่ยนมุมมองใหม่ เราต้องตระหนักว่าทุกสิ่งเชื่อมโยงถึงกัน และทุกคนสามารถสร้างความแตกต่างได้” 

ในระหว่างการประชุมสุดยอดครั้งนี้ พีแอนด์จียังได้ประกาศความคืบหน้าระดับภูมิภาคเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Ambition 2030 โดยคุณ Magesvaran Suranjan ประธานพีแอนด์จีประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ได้ประกาศความคืบหน้าดังนี้

  • ในเดือนพฤษภาคม 2021 พีแอนด์จีให้คำมั่นว่าจะเปิดตัวโครงการปลูกป่านำร่อง 12 โครงการ ภายใน 12 เดือน ภายใต้โครงการ Forests for Good และนับตั้งแต่นั้นมา พีแอนด์จีได้เปิดตัวโครงการปลูกป่านำร่องไปแล้วกว่า 20 โครงการ ในพื้นที่ต่างๆ อาทิ ป่าชายเลน Jebal Ali Reserve Mangrove Forest ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ป่าเทือกเขา Sierra Madre Mountain Range Forest ในฟิลิปปินส์, เขต Embu ในเคนยา รวมถึงประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค AMA เช่น ยูกันดา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย
  • พีแอนด์จีจะเดินหน้าลงทุนในโครงการต่างๆ เพื่ออนุรักษ์ภูมิทัศน์ ปกป้องสิ่งมีชีวิต และปรับปรุงแนวทางการทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน อาทิ การทำงานร่วมกับกองทุนสัตว์ป่าโลกแห่งมาเลเซีย และกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อปกป้องเสือโคร่งมลายูและเต่ากระที่ใกล้สูญพันธุ์ตามลำดับ นอกจากนี้ พีแอนด์จีได้ริเริ่มโครงการสำหรับเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ปลูกปาล์มทั่วมาเลเซียมาตั้งแต่ปี 2018 เพื่อช่วยปรับปรุงการทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน ตลอดจนยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกร ครอบครัว และชุมชน
  • พีแอนด์จีได้ประกาศว่า กว่า 85% ของโรงงานในภูมิภาค AMA จะใช้ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนภายในสิ้นปี 2022 และปัจจุบัน โรงงานผลิตของพีแอนด์จีในภูมิภาค AMA มากถึง 87% ใช้ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนแล้ว
  • นอกจากโรงงานผลิตของพีแอนด์จีทั้งหมด 100% จะบรรลุเป้าหมาย Zero Waste to Landfill แล้ว บริษัทยังได้ฉลองความสำเร็จครั้งสำคัญในการเปิดสำนักงาน Zero Waste แห่งแรกในภูมิภาค AMA โดยตั้งอยู่ในดูไบ และเตรียมเปิดสำนักงาน Zero Waste เพิ่มเติมทั่วทั้งภูมิภาค
  • พีแอนด์จีได้ประกาศสนับสนุนสถาบัน Jane Goodall Institute และโครงการ Roots & Shoots Program ของทางสถาบัน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เยาวชนสามารถทำโครงการต่างๆ ภายในพีแอนด์จีและชุมชนของตนเองเพื่อช่วยเหลือสัตว์และโลกของเรา

คุณ Magesvaran Suranjan กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลก และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นหลัง ด้วยการผสานความยั่งยืนเข้ากับวิธีการดำเนินธุรกิจของเราในทุกๆ วัน เราทุกคนที่พีแอนด์จีมีพลังในการสร้างความแตกต่างที่มีความหมายต่อสิ่งแวดล้อมของเรา”

คุณ Standa Vecera ผู้สนับสนุนด้านความยั่งยืนในภูมิภาค AMA ของพีแอนด์จี และรองประธานอาวุโสของพีแอนด์จี ประเทศญี่ปุ่น ให้ความเห็นว่า “ผลงานของเรามีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงานของเรา และเราทราบดีว่าเราสามารถทำได้มากกว่านี้ โดยพีแอนด์จีได้ตั้งเป้าที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2040 และจะตั้งเป้าหมายโดยอิงวิทยาศาสตร์เป็นหลัก เพื่อใช้เป็นหลักนำทางโครงการพลังแห่งความดี (Force for Good) ต่อไป”

คุณ Rob Kaplan ซีอีโอของ Circulate Capital Ocean Fund และคุณ Dia Mirza นักแสดง โปรดิวเซอร์ และทูตสันถวไมตรีด้านสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติได้มาร่วมแบ่งปันความคิดในการส่งเสริมการดำเนินการที่ยั่งยืน

โดยคุณ Rob Kaplan ให้ความเห็นว่า “ไม่มีใครอยู่แต่ข้างสนามได้ เพราะความยั่งยืนเปรียบเหมือนการเล่นกีฬาประเภททีมของทั้งกลยุทธ์องค์กรและการดำเนินงานขององค์กร เพื่อที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ถ้าเราร่วมมือกันย่อมมีความหวัง”

ด้านคุณ Dia Mirza กล่าวว่า “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนคือดาวนำทาง หากเป้าหมายนี้ถูกนำไปใช้ในทุกที่ เราก็มีโอกาสแก้ปัญหาใหญ่ที่สุดที่กำลังเผชิญอยู่ในทศวรรษนี้ หลายแบรนด์พบหนทางในการมัดใจลูกค้าแล้ว หากแบรนด์อื่นๆ อย่างเช่นพีแอนด์จีใช้พลังของตนสร้างความเปลี่ยนแปลง โลกของเราก็มีความหวัง”

พีแอนด์จีมุ่งมั่นที่จะเร่งดำเนินการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2040

พีแอนด์จีได้ตั้งเป้าหมายใหม่ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตลอดการดำเนินงานและห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบไปจนถึงร้านค้าภายในปี 2040 ซึ่งรวมถึงเป้าหมายระหว่างกาลปี 2030 โดยตั้งเป้าที่จะสร้างความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญให้ได้ภายในทศวรรษนี้