‘เดอะ ฟอเรสเทียส์’ โดย MQDC โครงการอสังหาฯ ใหญ่สุดของไทย ตอกย้ำเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย เดินหน้าการก่อสร้าง เตรียมเปิดให้ชมห้องตัวอย่าง พร้อม Immersive Experience เร็วๆ นี้

0
1705
  • เดอะ ฟอเรสเทียส์ เป็นโครงการเมืองแห่งแรกในโลกที่ออกแบบทุกมิติเพื่อการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้นและมีความสุขมากขึ้น
  • งานสาธารณูปโภคและอุโมงค์คืบหน้าแล้ว 95% ขณะนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างโครงการพักอาศัยต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
  • ทุ่มเงินลงทุนสูงที่สุดในไทย เนรมิต ฟอเรสต์ พาวิลเลียน อาคารศูนย์การเรียนรู้สุดอลังการ มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท จัดแสดงวิสัยทัศน์และแนวคิดโครงการ ผ่าน Immersive Experience ที่ออกแบบโดยผู้ออกแบบ experience ระดับโลก 
  • มียอดจองที่วางเงินมัดจำเรียบร้อยแล้ว รวมมูลค่าขายกว่า 4,000 ล้านบาท แม้มีสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก 

ปัจจุบัน การก่อสร้างโครงการมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ แม้ว่าทั่วโลกกำลังเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทั้งในเรื่องสาธารณสุขและเศรษฐกิจก็ตาม เป็นการตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นที่ภาคเอกชนมีต่อเศรษฐกิจและอนาคตของประเทศไทย โดยการตัดสินใจของ MQDC ที่จะพัฒนาโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ด้วยวิสัยทัศน์การสร้างโครงการเมืองแห่งแรกในโลกที่ทุกมิติถูกออกแบบโดยเฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์หลักอย่างเดียวคือส่งเสริมให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดียิ่งขึ้น เป็นบทพิสูจน์ที่สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ทุกคนมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น และเห็นความสำคัญในเรื่องของการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี

นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC

วันนี้ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ประกาศความคืบหน้าของการก่อสร้างโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มูลค่า 125,000 ล้านบาท โดยจะเป็นโครงการเมืองแห่งแรกในโลกออกแบบทุกมิติเพื่อการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้นและมีความสุขมากขึ้นอย่างแท้จริง 

MQDC เปิดเผยว่า งานสาธารณูปโภคและอุโมงค์คืบหน้าไปแล้ว ถึง 95% และกำลังดำเนินการก่อสร้างโครงการพักอาศัยต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยขณะนี้ เดอะ ฟอเรสเทียส์ มียอดจองที่วางเงินมัดจำเรียบร้อยแล้ว รวมมูลค่าขายกว่า 4,000 ล้านบาท แม้ว่าทั่วโลกกำลังเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทั้งในเรื่องสาธารณสุขและเศรษฐกิจก็ตาม

ผู้พัฒนาโครงการได้ทุ่มเงินลงทุนจำนวนมหาศาล กว่า 1,400 ล้านบาท สร้าง ฟอเรส พาวิลเลี่ยน อาคารศูนย์การเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่อลังการเพื่อจัดแสดงวิสัยทัศน์และแนวคิดของ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ผ่านการถ่ายทอดแบบ Immersive experience จากผู้ออกแบบ experience ระดับโลก โดยขณะนี้ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเตรียมเปิดให้ผู้สนใจเข้าชมได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564

โครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 398 ไร่ บนถนนบางนา-ตราด กม. 7 ประกอบไปด้วยโครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบ ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม ที่มุ่งตอบสนองความหลากหลายของไลฟ์สไตล์และขนาดของครอบครัวที่แตกต่างกัน นอกจากนั้น ยังมีพื้นที่เชิงธุรกิจสำหรับสำนักงาน สปอร์ตคอมเพล็กซ์ กิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่างๆ ร้านค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงพื้นที่ Family Center สำหรับกิจกรรมสร้างสรรค์ของครอบครัว และพื้นที่ Town Center สำหรับกิจกรรมชุมชนและกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ โรงละคร อีเว้นต์ฮอลล์ ตลาด และหนึ่งในไฮไลท์ของโครงการคือ ทางเดินยกระดับความยาวกว่า 1.6 กิโลเมตร ซึ่งรวมทางเดินที่เชื่อมโยงไปยังพื้นที่ต่างๆ และองค์ประกอบหลายๆ ส่วนในโครงการ และทางเดินที่ทอดตัวอยู่เหนือผืนป่าซึ่งอยู่บริเวณใจกลางโครงการ มอบเป็นเส้นทางเดินเท้าท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC กล่าวว่า “เดอะ ฟอเรสเทียส์ ถือเป็นโครงการต้นแบบแห่งใหม่ของโลกในการพัฒนาเมือง ที่ได้รับการออกแบบรังสรรค์และก่อสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้รับการยอมรับและยกย่องมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก รวมทั้งสถาบันต่างๆ ที่เป็นสถาบันชั้นนำระดับโลกและสถาบันชั้นนำของประเทศไทย เพื่อให้มั่นใจว่าทุกองค์ประกอบของโครงการจะส่งเสริมการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้นและมีความสุขมากขึ้น

ปัจจุบัน การก่อสร้างโครงการมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ แม้ว่าทั่วโลกกำลังเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทั้งในเรื่องสาธารณสุขและเศรษฐกิจก็ตาม เป็นการตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นที่ภาคเอกชนมีต่อเศรษฐกิจและอนาคตของประเทศไทย โดยการตัดสินใจของ MQDC ที่จะพัฒนาโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ด้วยวิสัยทัศน์การสร้างโครงการเมืองแห่งแรกในโลกที่ทุกมิติถูกออกแบบโดยเฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์หลักอย่างเดียวคือส่งเสริมให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดียิ่งขึ้น เป็นบทพิสูจน์ที่สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ทุกคนมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น และเห็นความสำคัญในเรื่องของการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี”

นายกิตติพันธุ์ กล่าวว่า “เราได้ทุ่มเงินลงทุนจำนวนมหาศาล กว่า 1,400 ล้านบาท สร้าง ฟอเรส พาวิลเลี่ยน เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาเยี่ยมชมและสัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตในโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ด้วยตนเอง นับเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ที่ผู้พัฒนาโครงการได้ทุ่มงบประมาณสร้างอาคารสำหรับจัดแสดงห้องตัวอย่างของโครงการที่พักอาศัยต่างๆ ตลอดจนทำให้ผู้มาเยี่ยมชมได้เรียนรู้ เข้าใจวิสัยทัศน์ และสัมผัสประสบการณ์ทั้งหมดของโครงการ ในฐานะโครงการเมืองที่ออกแบบทุกมิติเพื่อการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้น” 

ฟอเรส พาวิลเลี่ยน มีพื้นที่ใช้งานขนาดใหญ่ ประมาณ 6,500 ตารางเมตร โดยเกิดจากการผนึกกำลังความร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นที่สุดของโลกในด้านต่างๆ อาทิ Foster + Partners Thailand บริษัทสถาปนิกระดับโลก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศอังกฤษ เป็นผู้ออกแบบอาคารฟอเรสต์ พาวิลเลียน ITEC Entertainment จากประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ออกแบบ Entertainment Experience ให้กับ ดิสนีย์แลนด์, ดิสนีย์ซี และยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เป็นผู้ออกแบบสร้างสรรค์ประสบการณ์และสันทนาการที่จะเกิดขึ้นภายในโครงการ, VAVE Studio จากประเทศเยอรมัน เป็นผู้ออกแบบ Exhibition experience and Story creator แต่ละห้องภายใน ฟอเรส พาวิลเลี่ยน’, และ BUG Studio บริษัทชื่อดังของไทย เป็นผู้ออกแบบ multi-disciplinary design เพื่อนำเสนอประสบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน

หนึ่งในไฮไลท์ภายใน ฟอเรสต์ พาวิลเลียนคือ ห้องจัดแสดงที่มีชื่อว่า Chamber of Secret ที่จะนำเสนอวิสัยทัศน์ของโครงการผ่านภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นที่สร้างสรรค์โดยบริษัท DEC Media แสดงบนจอ The Wall ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดของโลกในปัจจุบัน โดย The Wall เป็นหน้าจอแบบไมโครแอลอีดี (microLED) ที่สามารถถ่ายถอดที่สุดแห่งประสบการณ์ล้ำสมัยของการรับชมภาพด้วยการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาช่วยเพิ่มความคมชัดเพื่อมอบประสบการณ์แบบเหนือจริงให้แก่ผู้ชม

นายกิตติพันธุ์ กล่าวว่า ปัจจัยที่สำคัญที่สุดปัจจัยหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้นและมีความสุขมากขึ้น คือ การได้อยู่ใกล้ชิดกันกับสมาชิกในครอบครัวทุกเจนเนอเรชั่นและคนที่รัก ดังนั้นหนึ่งในนวัตกรรมการออกแบบที่สำคัญที่สุดของ เดอะ ฟอเรสเทียส์ คือ วิธีการออกแบบและวางผังองค์ประกอบของพื้นที่ที่อยู่อาศัยทั้งหมด และองค์ประกอบต่างๆ โดยรอบโครงการ ให้มีพื้นที่ที่ตอบสนองความต้องการของคนแต่ละช่วงวัยโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นวัยเริ่มต้นทำงาน คู่สมรสใหม่ วัยสร้างครอบครัว หรือพ่อแม่สูงวัย ให้แต่ละช่วงวัยสามารถใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างมีอิสระและมีพื้นที่ส่วนตัว แต่ในขณะเดียวกัน พื้นที่ต่างๆ ของคนทุกช่วงวัย จะสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้อย่างกลมกลืน และปลอดภัย เป็นการเอื้ออำนวยให้สมาชิกในครอบครัวจากหลากหลายเจเนอเรชั่นได้มาอยู่ใกล้ชิดกันได้เป็นอย่างดี”

เดอะ ฟอเรสเทียส์ ประกอบด้วยโครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบ อาทิ คอนโดมิเนียมแบรนด์ วิสซ์ดอม คอนโดมิเนียมแบรนด์ มัลเบอร์รี โกรฟ ที่อยู่อาศัยแบรนด์ มัลเบอร์รี โกรฟ วิลล่า ที่อยู่อาศัยแบรนด์ ดิ แอสเพน ทรีที่อยู่อาศัยแบรนด์ ซิกส์เซนส์ และโรงแรมแบรนด์ ซิกส์เซนส์ นอกจากนี้ ยังมีศูนย์การแพทย์และสุขภาพขนาดใหญ่ที่ครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุด และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทยจำนวนหนึ่ง 

ในโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังมีอีกหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือ ป่าขนาดใหญ่ พื้นที่ 30 ไร่ ที่เริ่มปลูกมาตั้งแต่เป็นเมล็ดและต้นกล้า ครอบคลุมพื้นที่ใจกลางของโครงการ เป็นการนำธรรมชาติกลับคืนสู่ชุมชนและพื้นที่ที่เป็นเมือง ด้วยความเชื่อที่ว่า การได้อยู่ใกล้ชิดกับความมหัศจรรย์อันหลากหลายของธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ส่งมอบการมีสุขภาพดีและความสุขให้กับผู้คน 

“ถือเป็นครั้งแรกในโลก ที่ผืนป่าขนาดใหญ่เช่นนี้ถูกนำมาหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเมือง” นายกิตติพันธุ์ กล่าว

อีกหนึ่งองค์ประกอบในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซึ่งไม่เคยมีในโครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งไหนในประเทศไทยมาก่อน ก็คือพื้นที่สำหรับการอยู่อาศัยซึ่งถูกออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อให้ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบายยิ่งกว่าที่เคย รวมทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะทางสำหรับกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน คลับเฮาส์ และผู้ดูแลที่ผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี

เดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพมากที่สุดแห่งหนึ่ง โดยอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเป็นระเบียงเศรษฐกิจที่เติบโตรวดเร็วที่สุดของประเทศไทย โครงการสามารถเข้าถึงทางด่วนและการคมนาคมขนส่งมวลชนที่สำคัญได้อย่างหลากหลาย และโดยง่ายดาย