“กรุงไทย” และ “กลุ่ม สิงห์ เอสเตท” ร่วมก้าวสู่ Net Zero ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ย เชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต ครั้งแรกในไทย

0
521

“ธนาคารกรุงไทย” ร่วมกับ “สิงห์ เอสเตท” ทำสัญญาอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย เชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต หรือ Carbon Credit Linked Interest Rate Derivatives ครั้งแรกในไทย ช่วยบริหารความเสี่ยงจากดอกเบี้ยในช่วงขาขึ้น พร้อมจัดหาคาร์บอนเครดิต หากดำเนินงานด้าน ESG ได้ตามเป้าหมาย ตอกย้ำผู้นำบริการทางการเงินที่ยั่งยืน ตอบโจทย์เป้าหมาย Net Zero ของประเทศ
นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ ธนาคารกรุงไทย มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและบริการทางการเงินอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ ล่าสุด ธนาคารร่วมกับบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ทำสัญญาอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่เชื่อมโยงกับคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Linked Interest Rate Derivatives) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย นับเป็นนวัตกรรมใหม่ของตลาดทุนไทย ที่ช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสนับสนุนการจัดหาคาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพให้กับ สิงห์ เอสเตท เพื่อการชดเชยคาร์บอนจากกิจกรรมการปล่อยคาร์บอนของบริษัท (Carbon Offset) หากบริษัทสามารถดำเนินงานตามเป้าหมาย ESG สำเร็จ โดยมีการกำหนดคุณสมบัติของคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Credit) ให้รองรับทั้งมาตรฐานไทย (T-VER) ซึ่งรับรองโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) และมาตรฐานสากล Verified Carbon Standard ที่ออกโดยสมาคม Verra นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดประเภทคาร์บอนเครดิตที่ได้มาจากโครงการลดคาร์บอนที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-Based Solution) เช่น การปกป้องและฟื้นฟูผืนป่า เป็นต้น เพื่อให้ตรงกับเป้าหมายของ กลุ่มสิงห์ เอสเตท ที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างยั่งยืน
“ความร่วมมือในครั้งนี้ ตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดด้านบริการทางการเงินที่ยั่งยืน (ESG Financial Solution) ที่ออกแบบและพัฒนาบริการตอบโจทย์ธุรกิจของลูกค้าอย่างตรงจุด สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น และแนวโน้มการทำธุรกิจยุคใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ( SDGs) ของสหประชาชาติ (UN) ในข้อ 13 เรื่องการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยธนาคารได้นำเครื่องมือทางการเงินมาใช้ในการบริหารจัดการอย่างครบวงจร เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ หากสิงห์ เอทเตท สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและดำเนินงานได้ตามเป้าหมายด้าน ESG ธนาคารจะสนับสนุนการจัดหาคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สนับสนุนเป้าหมาย Net Zero Emissions ของประเทศ เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน”

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าการลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในด้านการเตรียมแผนพัฒนาธุรกิจให้สามารถรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ภายใต้พันธกิจองค์กรที่เน้นสร้างความหลากหลายที่สมดุล เพื่อนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ ชุมชน และสิ่งแวดล้อม (Sustainable Diversity) ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินการด้านการต่อต้านภาวะโลกรวน หรือ climate change โดยบริษัทตั้งเป้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2030 ด้วยการสร้างความร่วมมือเครือข่ายพันธมิตรลดการปล่อยคาร์บอนจากกิจกรรมทางธุรกิจตลอดซัพพลายเชน (supply chain) เพิ่มการใช้พลังงานสะอาดในทุกหน่วยธุรกิจ เพิ่มพื้นที่ดูดซับคาร์บอนด้วยการปลูกป่าในเขตรอยต่ออุทยานเพื่อสร้างแนวป้องกันไฟป่า โดยตั้งเป้าสร้างพื้นที่อนุรักษ์ 1 ล้านตารางเมตร ภายในปี ค.ศ. 2030
“นอกจากนี้ยังขยายฐานสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ร่วมลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานคาร์บอนต่ำ สร้างนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่จังหวัดอ่างทอง รวมทั้งพัฒนาโครงการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้พลังงานสะอาด ให้แก่บริษัทในเครือ อาทิเช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 1.3 เมกะวัตต์ ในโครงการโรงแรมของกลุ่มในประเทศไทยและมัลดีฟส์ ซึ่งจะสามารถต่อยอดสู่การร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในอนาคต สร้างรายได้ที่ยั่งยืนพร้อมสร้างสังคมที่มีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกที่ๆ มีธุรกิจของบริษัทดำเนินอยู่” นางฐิติมา กล่าว

Krungthai and Singha Estate Group advance towards a net-zero goal with Thailand’s first carbon credit linked interest rate derivatives
Krungthai Bank and Singha Estate Group have entered into Thailand’s first carbon credit linked interest rate derivatives contract. This significant step will enhance risk management capabilities amidst an era of increasing interest rates. Moreover, the bank will support the group in obtaining carbon credits upon achievement of ESG targets, thereby cementing the bank’s position as a leading provider of ESG financial solutions and making a substantial contribution to Thailand’s pursuit of a net-zero target.
Rawin Boonyanusasna, Senior Executive Vice President of the Global Markets Group at Krungthai Bank, said that as a leading commercial bank in Thailand, Krungthai Bank is unwavering in its commitment to continuous innovation and the development of financial services that cater to all aspects of customer needs. Most recently, the bank has entered into Thailand’s first carbon credit linked interest rate derivatives contract with Singha Estate Public Company Limited. This contract represents a pioneering innovation in the Thai capital market, enabling more efficient management of interest rate risks while providing support to Singha Estate in acquiring carbon offsetting credits, contingent upon the company achieving its ESG goals. The carbon credits offered will comprise voluntary carbon credits sourced from nature-based solutions, such as afforestation and reforestation. These credits adhere to both Thailand’s T-VER standards established by the Thailand Greenhouse Gas Management Organization (TGO) and the verified carbon standard set by Verra. Aligning with Singha Estate Group’s vision, these carbon credits contribute to maintaining environmental and ecological balance while facilitating sustainable growth.
“This collaboration will further strengthen our position as a leading provider of ESG financial solutions, as we continuously strive to design and develop solutions that precisely cater to our customers’ business needs. This contract has been specifically crafted to address the challenges posed by rising interest rates while aligning with the current business landscape that emphasizes environmental friendliness and address the United Nations Sustainable Development Goal 13: Climate Action. Through the utilization of financial instruments, the bank ensures comprehensive finance management to effectively mitigate interest rate risks. Furthermore, if Singha Estate successfully reduces its greenhouse gas emissions and achieves its ESG targets, the bank will actively support their efforts by facilitating the acquisition of carbon credits. This approach reflects our dedication to promoting environmentally-conscious business practices, contributing to our nation’s net-zero emissions ambitions, and generating sustainable growth. It is a testament to the core essence of our vision, ‘Growing Together for Sustainability’,” Rawin said.

Thitima Rungkwansiriroj, CEO of Singha Estate Public Company Limited, emphasized the significant implications of entering into this derivatives contract, particularly in the development of business plans that effectively tackle climate change while aligning with Singha Estate’s mission of fostering sustainable diversity, which will lead to sustainable growth of economy, community, and environment. Last year, the company made a declaration to achieve carbon neutrality by 2030 by establishing a network of partnerships to reduce carbon emissions across its supply chain and promoting the adoption of clean energy throughout all business units. Additionally, Singha Estate is actively creating carbon-absorbing areas, with a target of one million square meters by 2030. This goal will be accomplished by planting trees in regions adjacent to national parks, which will also serve as wildfire buffer zones.
“We are also diversifying our business portfolio to encompass environmentally-friendly sectors, which include investments in low-carbon power plants and the development of an eco-industrial estate in Angthong. Furthermore, we are actively implementing clean-energy infrastructure across our affiliates’ facilities. For instance, we have installed 1.3-megawatt solar panels at hotels within the Singha Estate Group in Thailand and the Maldives. These initiatives serve as a solid foundation for fostering partnerships with future collaborators, generating sustainable income, and simultaneously ensuring the happiness and high quality of life for the society in which we operate our business,” Thitima stated.