สถานทูตไทย-สวีเดน จับมือ เอสซีจี ผลักดันโมเดลจัดการป่ายั่งยืนระดับโลก ตัดไม้แต่ได้ป่าใช้นวัตกรรมเพิ่มพื้นที่ป่าไทย สร้างเศรษฐกิจเติบโต

0
602

– สถานเอกอัครราชทูตไทย-สวีเดน ร่วมกับเอสซีจีและพันธมิตร ร่วมผลักดันโมเดลจัดการป่ายั่งยืนระดับโลกจากสวีเดน ประเทศแห่งการส่งออกไม้เศรษฐกิจสูงเป็นอันดับ 3 ของโลกและยังครองตำแหน่งผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมเช่นกัน โดยเผยแพร่นวัตกรรมจัดการป่าสร้างความสมดุลระหว่างเป้าหมายการอนุรักษ์ธรรมชาติและเศรษฐกิจ เช่น การพลิกฟื้นป่าที่เสื่อมโทรมทั่วประเทศที่เหลือเพียง 25% เพิ่มเป็น 75% ได้สำเร็จ รวมถึงการปลูกป่าไม้เชิงพาณิชย์ ส่งเสริมเศรษฐกิจเติบโต เช่น ไม้แปรรูปสำหรับภาคก่อสร้างขนาดใหญ่ ไม้แปรรูปสำหรับเฟอร์นิเจอร์  มุ่งหวังให้ภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม นำโมเดลนี้ไปศึกษา เพื่อต่อยอดสร้างความยั่งยืนในประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “เวทีความร่วมมือด้านความยั่งยืนไทย-สวีเดน ปี 2566”

นางอรุณรุ่ง โพธิ์ทอง ฮัมฟรีย์ส เอกอัครราชทูต ณ กรุงสตอกโฮล์ม  กล่าวว่า  “ภารกิจสำคัญของสถานเอกอัครราชทูตฯ คือการสานพลัง สร้างนวัตกรรม สู่ความยั่งยืน โดยเชื่อมโยงความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อหาแนวคิดที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนแก่ประเทศไทย ซึ่งการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนของสวีเดนที่นำมาเผยแพร่ในวันนี้ เป็นการเชื่อมโยงระหว่างป่าไม้ ชุมชน และเศรษฐกิจ ให้เติบโตไปพร้อมกัน เป็นการสร้างความผูกพันระหว่างป่ากับคน สอดคล้องกับพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เรื่อง “ปลูกต้นไม้ในใจคน” ที่ต้องทำให้คนเข้าใจว่าเราปลูกต้นไม้ทำไม ประโยชน์คืออะไร ถ้าเราสามารถสร้างระบบอุตสาหกรรมและธุรกิจป่าไม้ที่ทำให้คนในชุมชนมีรายได้จากป่า เห็นคุณค่าจากป่า ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะร่วมกันบริหารจัดการป่าอย่างเหมาะสมและยั่งยืน ซึ่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องแนวคิดการบริหารจัดการป่าในวันนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง และเป็นส่วนหนึ่งของสัปดาห์แห่งความยั่งยืนของไทย สวีเดน ปี 2566 ”

นายยอน ออสเตริม เกรินดาห์ล เอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศไทย  กล่าวว่า “ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สวีเดนส่งออกไม้เป็นอันดับที่ 3 ของโลก มูลค่ารวมกว่า 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่ยังสามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่เคยเหลือเพียง 25% เมื่อ 100 ปีก่อน เป็น 75% คือการใช้พระราชบัญญัติป่าไม้ (Forestry Act) ที่ทำให้ตัดไม้แต่ได้ป่า ถ้าตัดต้นไม้หนึ่งต้น ต้องปลูกเพิ่มอย่างน้อยสามต้น นอกจากจะได้พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น ระบบนิเวศที่สมบูรณ์ ช่วยดูดซับคาร์บอน ลดผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว ยังช่วยให้คนอยู่ร่วมกับป่า ใช้ประโยชน์จากป่า และมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูป่าไปพร้อมกัน โดยได้ป่าไม้ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้ประชาชน เช่น ไม้สำหรับการก่อสร้างอาคารสมัยใหม่ ไม้แปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงเศษไม้เหลือใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวมวล รัฐบาลสวีเดนหวังว่าโมเดลและประสบการณ์ที่นำมาแบ่งปันในวันนี้ จะเกิดความร่วมมือระหว่างสองประเทศเพื่อขยายแนวคิดแห่งความยั่งยืนนี้ต่อไป” 

 นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจีเห็นประโยชน์จากโมเดลจัดการป่ายั่งยืนของสวีเดน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของประเทศไทย เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ลองศึกษาและนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศ ซึ่งเอสซีจีให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พื้นที่ป่าในการทำเหมืองปูนซีเมนต์ เพื่อให้ระบบนิเวศอุดมสมบูรณ์ และขยายพื้นที่ป่าบก ป่าโกงกางและหญ้าทะเลรวมถึงการจัดการน้ำเพื่อบำรุงรักษาให้ป่าอุดมสมบูรณ์ในโครงการ ‘รักษ์ภูผามหานที’ โดยได้เพิ่มพื้นที่ป่าไปแล้ว 1.2 ล้านต้น และสร้างฝายชะลอน้ำ 115,000 ฝาย

ซึ่งช่วยชุมชนกว่า306 ชุมชน 57,000 ครัวเรือน ทั่วประเทศ ใช้อุปโภค-บริโภคและการเกษตร ส่งต่อการจ้างงานกว่า 2,550 คน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างรายได้เพิ่มกว่า5เท่า โดยมีเป้าหมายปลูกป่า 3 ล้านไร่  150,000 ฝาย เพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ 5 ล้านตัน มุ่งสู่ Net Zero ในปี 2050  ตามแนวทาง ESG 4 Plus

นอกจากนี้ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์หรือเอสซีจีพี ที่มีการใช้ไม้ยูคาลิปตัสเป็นวัตถุดิบหลัก ได้นำระบบการบริหารจัดการสวนป่าอย่างยั่งยืน ตามมาตรฐาน Forest Stewardship Council (FSC) มาใช้กับพื้นที่ปลูกป่าเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมยูคาลิปตัสสายพันธุ์ใหม่ และใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพการปลูก สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้เกษตรกรกว่า 3,800 ล้านบาทต่อปี

เอสซีจีเชิญชวนทุกภาคส่วน ทั้งในและต่างประเทศ มาร่วมกันศึกษา ต่อยอด และออกแบบการบริหารจัดการพื้นที่ป่าของประเทศไทยในรูปแบบใหม่ เพื่อให้มีพื้นที่ป่ามีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มมากขึ้น และสามารถนำประโยชน์จากป่าไม้ไปสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศและภูมิภาคได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป”

ทั้งนี้สัปดาห์แห่งความยั่งยืนไทย-สวีเดน ปี 2566 จะมีตลอดทั้งสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 17-22 มีนาคม 2566 การผลักดันความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ของไทยกับสวีเดน จะช่วยส่งเสริมให้ไทยพัฒนาประเทศไปสู่ความยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะด้านป่าไม้และเมืองยั่งยืน และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ทางเพจ Facebook ของ TNIU ที่ www.facebook.com/TNIUThailandNordicInnovation

Embassy of Thailand, Sweden Join Hands with SCG to Introduce
Global Sustainable Forest Management Model of Harvest & Replant,
Using Technology to Enhance Thailand’s Reforestation and Promote Economic Growth
17 March 2023 Bangkok – The Embassy of Thailand and the Embassy of Sweden have joined forces with SCG and partners in the effort to explore a global sustainable forest management model from Sweden,
the country that is the world’s third largest exporter of sawn timber and a leader in environmental protection. The collaboration is established to share forest management innovations that achieve a balance between nature conservation and economic goals. Among success stories are the restoration of degraded forests countrywide from 25% to 75%, commercial forestry, and its economic growth, such as lumber for
major construction and furniture. As part of the ” Thailand and Sweden Sustainable Week 2023″, this event intends for the public, private, and civil sectors to explore this concept to promote sustainability in Thailand.
H.E. Mrs. Arunrung Phothong Humphreys, Ambassador of Thailand to Sweden in Stockholm, said, “The Embassy’s mission is to energize innovation towards sustainability by fostering cross-sector collaboration to explore ideas that will help address problems and create sustainable growth for Thailand. Sweden’s sustainable forest management, which is shared today, is a means to connect forests, communities, and economies to flourish together. It establishes a bond between the forest and the people, in line with His Majesty the late King Bhumibol Adulyadej’s ‘Plant a tree in people’s hearts’ speech,
which teaches people to understand why we need to plant trees and what the benefits are.
Suppose we can build an industrial system and forest business that allows people in the community to earn a living from the forest and recognize its value. In that case, everyone involved will work together to manage the forest appropriately and sustainably. Today’s exchange of knowledge on forest management concepts is extremely important and is part of Thailand and Sweden Sustainable Week 2023.”

H.E. Mr. Jon Åström Gröndahl, Ambassador of Sweden to Thailand, said, “A key driver that makes Sweden rise to the world’s third largest exporter of timber, with annual revenues of more than $15 billion, and an increase of green space from 25% to 75% a century ago, is the implementation of the Forestry Act, which demands replanting after cutting. If one tree is chopped down, at least three more need to be planted. Aside from gaining more forest areas, a thriving ecosystem that helps absorb carbon dioxide is established that not only help mitigate the effects of climate change and fostering a harmonious coexistence between humans and nature, but also allow humans to utilize the forest and contribute to the restoration of the forest altogether. As a result, it generates forests that are vital to the economy and contribute to creating jobs and income for people, such as wood for the construction of contemporary buildings, lumber for furniture,
and wood byproducts utilized as biomass fuel. The Swedish government hopes that the model and experiences discussed today will lead to a collaboration between the two nations to expand this concept of sustainability.”

Nithi Patarachoke, President of Cement-Building Materials Business, SCG, said, “SCG recognizes the significance of the sustainable forest management model in Sweden. It is a good starting point for Thailand, allowing all sectors to explore and apply suitably to the country’s context. SCG places importance on the conservation of forests in cement mining areas to ensure the abundance of ecosystems and increase reforestation of terrestrial forest areas, mangroves, and seagrasses, as well as water management to maintain abundant forests in the project ‘Conserving Water from Mountain to Mighty River’. It has planted 1.2 million trees and built 115,000 check dams, which help 306 communities and 57,000 households nationwide. The water resource can be used for consumption and agriculture, creating jobs for more than 2,550 people and reducing income inequality, where people can earn five times more. The goal is to plant trees on 3 million rai of land and absorb 5 million tons of carbon dioxide to achieve net zero by 2050, in line with ESG 4 Plus.
In addition, SCGP, which uses eucalyptus wood as its main raw material, has applied a sustainable forest management system in accordance with the Forest Stewardship Council (FSC) standard to economic reforestation areas, along with the development of innovations of new eucalyptus species and various technologies to increase the quality of planting, thereby creating an annual economic value of more than 3,800 million baht for farmers.
SCG would like to welcome all sectors, domestic and foreign, to explore, expand, and reimagine the management of Thailand’s forest lands. The goal is to generate more forest areas and utilize forest benefits to create tangible economic growth for the nation and the region.”
The “Thailand and Sweden Sustainable Week 2023″ is held throughout the week between 17-22 March 2023. The push for concrete cross-sector collaboration between Thailand and Sweden will help advance Thailand’s development toward greater sustainability, particularly in sustainable forests and urbanization, while creating new business prospects related to sustainability. For more information, please visit TNIU’s Facebook page at www.facebook.com/TNIUThailandNordicInnovation