กลุ่มบริษัทเอไอเอ แถลงผลประกอบการปี 2565

0
435

มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ในช่วงครึ่งปีหลัง

เงินกองทุนส่วนเกิน (Free surplus) เพิ่มขึ้นเป็น 23.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนคืนทุน 5.8 พันล้านเหรียญสหรัฐแก่ผู้ถือหุ้น
กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ต่อหุ้น
เงินปันผลรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 ต่อหุ้น

ฮ่องกง, 10 มีนาคม 2566 – คณะกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทเอไอเอ (“เอไอเอ” หรือ “บริษัท” รหัสหลักทรัพย์: 1299) ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะประกาศผลประกอบการประจำปีของกลุ่มบริษัท สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565

อัตราการเติบโตรายงานจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่:

ผลประกอบการของธุรกิจใหม่
• สำหรับปี 2565 มีมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) อยู่ที่ 3,092 ล้านเหรียญสหรัฐ
• มูลค่าธุรกิจใหม่เติบโตขึ้นร้อยละ 6 ในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนเริ่มลดลง
• เอไอเอ ประเทศจีน มีการเติบโตเชิงบวกของมูลค่าธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังและในช่วงสองเดือนแรกของปี 2566
• กลุ่มบริษัทที่ดำเนินงานที่ใหญ่ที่สุดทั้ง 5 ตลาด มีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่เป็นบวกในช่วงครึ่งปีหลัง

รายได้และทุน
• เงินกองทุนส่วนเกิน เพิ่มขึ้นเป็น 23.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนจ่ายเงินปันผลและซื้อหุ้นคืนจำนวน 5.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
• ส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกิน (UFSG) อยู่ที่ 6,039 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7(1) ต่อหุ้น
• กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) มีมูลค่า 6,370 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ต่อหุ้น
• ส่วนทุนตามมูลค่าธุรกิจประกันภัย (EV Equity) มีมูลค่า 77.0 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนการจ่ายเงินปันผลและซื้อหุ้นคืน
• อัตราส่วนของวิธีผลรวมเงินกองทุนของแต่ละประเทศ (Group LCSM) ของกลุ่มบริษัท(2) แข็งแกร่งมาก อยู่ที่ร้อยละ 283 จากข้อกำหนด PCR ที่ประกาศใหม่ (ร้อยละ 552 จากข้อกำหนด MCR)

ผลกระทบเชิงบวกที่คาดการณ์ไว้โดยรวม บนมาตรฐาน IFRS 9 และ IFRS 17 เมื่อเทียบกับมาตรฐาน IAS 39 และ IFRS 4(3)
• กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญตลอดปี 2565
• กำไรสุทธิสำหรับปี 2565 จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
• ส่วนของผู้ถือหุ้นที่จัดสรรแล้วและส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 จะสูงกว่า IFRS 4
• อัตราส่วนโครงสร้างทางการเงิน (Leverage Ratio) ลดลงอย่างมีนัยสําคัญ

เงินปันผลและโครงการซื้อหุ้นคืน
• เงินปันผลรอบสุดท้าย 113.40 เซนต์ฮ่องกงต่อหุ้น
• เงินปันผลรวม 153.68 เซนต์ฮ่องกงต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3
• โครงการซื้อหุ้นคืนมูลค่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐที่ประกาศไปเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ยังคงเป็นไปตามแผน
• จ่ายคืนแก่ผู้ถือหุ้น 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐผ่านโครงการซื้อหุ้นคืนในปี 2565

นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า:
“ผลประกอบการทางการเงินที่มั่นคงของเราในสภาพแวดล้อมของตลาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แสดงให้เห็นถึงจุดแข็งของรูปแบบการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของเอไอเอ ซึ่งเป็นผลจากการขายในช่องทางที่แตกต่างและข้อเสนอเฉพาะบุคคลของเรา แรงขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ดีขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนได้ลดลงและผู้คนสามารถกลับมาทำกิจกรรมได้ปกติอีกครั้ง ขณะที่มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ตลอดทั้งปี จำนวน 3,092 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 5 แต่เรากลับมาเติบโตร้อยละ 6 ในช่วงครึ่งหลังโดยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ 5 ตลาด ซึ่งทำให้มีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ในเชิงบวก

“สถานะทางการเงินของเรายังคงแข็งแกร่งและมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการเติบโตทางธุรกิจที่มีคุณภาพสูงของเอไอเอ เพื่อรองรับกำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) และส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกิน (UFSG)(1) ที่ปรับเพิ่มขึ้น สถานะทางการเงินของกลุ่มบริษัทยังคงแข็งแกร่งมากแม้ว่าตลาดทุนจะผันผวนอย่างมากในปี 2565 โดยเงินกองทุนส่วนเกินเพิ่มขึ้นเป็น 23.7 พันล้านเหรียญสหรัฐก่อนคืนทุนให้แก่ผู้ถือหุ้น และวิธีผลรวมเงินกองทุนของแต่ละประเทศ (Group LCSM)(2) ของกลุ่มบริษัท ซึ่งมีอัตราส่วนถึงร้อยละ 283 สำหรับส่วนทุนตามมูลค่าธุรกิจประกันภัย (EV Equity) เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ในปี 2565 เป็น 77.0 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนคืนทุน 5.8 พันล้านเหรียญสหรัฐให้แก่ผู้ถือหุ้นผ่านโครงการซื้อหุ้นคืนและการจ่ายเงินปันผล

“คณะกรรมการบริหารได้พิจารณาจ่ายเงินปันผลรอบสุดท้ายที่ 113.40 เซนต์ฮ่องกงต่อหุ้น ซึ่งจะทำให้เงินปันผลรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 อยู่ที่ 153.68 ฮ่องกงเซนต์ต่อหุ้น โดยเป็นไปตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่รอบคอบ ยั่งยืน และก้าวหน้าของเอไอเอ ซึ่งจะผลักดันให้มีโอกาสการเติบโตในอนาคตและก่อให้เกิดความยืดหยุ่นทางการเงินของกลุ่มบริษัท

“เอไอเอ ประเทศจีน กลับมาเติบโตในเชิงบวกช่วงครึ่งหลังของปี 2565 โดยมีมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 มูลค่าธุรกิจใหม่ลดลงในช่วงครึ่งแรกเมื่อเทียบกับปี 2564 เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของเราอยู่ภายใต้ข้อจำกัดการเดินทางที่เข้มงวดของโรคระบาด ในช่วงครึ่งหลัง มูลค่าธุรกิจใหม่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งด้วยการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลข สองหลักเมื่อเทียบปีต่อปีจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน ก่อนที่การติดเชื้อ COVID-19 จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเดือนธันวาคมซึ่งทำให้กิจกรรมการขายของธุรกิจใหม่ต้องหยุดชะงักลง หลังจากการเปิดประเทศจีนแผ่นดินใหญ่อีกครั้ง เราได้เห็นแรงขับเคลื่อนในธุรกิจใหม่ของเราฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและกลับมามีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ในเชิงบวกในช่วงสองเดือนแรกของปี 2566

“เรายังคงดำเนินกลยุทธ์การขยายธุรกิจของเอไอเอ ประเทศจีนต่อไป โดยคว้าโอกาสในการเติบโตใหม่โดยเพิ่มจำนวนต้นแบบพรีเมียร์เอเจนซีที่มีความแตกต่างและมีคุณภาพสูงของเราในภูมิภาคใหม่ และขยายสถานะของเราให้ลึกยิ่งขึ้นภายใต้รูปแบบของเรา เรามีความก้าวหน้าอย่างยอดเยี่ยมในช่องทางตัวแทนมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 และจำนวนตัวแทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 จากมณฑลเทียนจิน ฉือเจียจวง เสฉวน และหูเป่ย์ ในเดือนมกราคม 2565 เราได้เปิดตัวการขยายธุรกิจเพิ่มเติมในหูเป่ย์ และเรายังอยู่ในขั้นตอนที่ได้เปรียบในการเตรียมพร้อมสำหรับสาขาใหม่ในมณฑลเหอหนาน รวมถึงเรื่องความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ของเอไอเอ ประเทศจีนในการขายประกันชีวิตผ่านธนาคารพาณิชย์กับ Postal Savings Bank of China ที่มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง

“เอไอเอ ฮ่องกง รายงานตัวเลขมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ในปี 2565 ซึ่งมีปัจจัยการเติบโตจากช่องทางตัวแทนและพันธมิตรทางธุรกิจของเรา โดยสาขามาเก๊าของเราได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่องจากการกลับมาของแผนการเยือนรายบุคคล (Individual Visit Scheme) กับประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ โดยมูลค่าธุรกิจใหม่มาจากการขายให้แก่นักเดินทางชาวจีนแผ่นดินใหญ่เพิ่มขึ้นสามเท่าในปี 2565 คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 10 ของมูลค่าธุรกิจใหม่ทั้งหมดของเอไอเอ ฮ่องกง ซึ่งการเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจใหม่ยังคงดำเนินต่อไปในตลอดสองเดือนแรกของปี 2566

“เอไอเอ ประเทศไทย สร้างการเติบโตในมูลค่าธุรกิจใหม่ตลอดทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ 5 โดยได้รับแรงหนุนจากช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 ที่มีการเติบโตถึงร้อยละ 19 เรามองเห็นกิจกรรมการขายที่เพิ่มขึ้นจากทั้งช่องทางตัวแทนและแบงก์แอสชัวรันส์ ซึ่งช่วยสร้างผลตอบแทนจากธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี โดยช่องทางตัวแทนของเรายังคงเป็นผู้นำตลาดในปี 2565 ยิ่งไปกว่านั้น เรายังประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการสรรหาตัวแทนใหม่ ซึ่งมีส่วนสนับสนุนให้เรามีจำนวนตัวแทนที่สร้างผลงานได้เพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2564

“เอไอเอ สิงคโปร์ รายงานมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 7 ในช่วงครึ่งปีหลัง สะท้อนถึงยอดขายที่มีการฟื้นตัว สำหรับ เอไอเอ มาเลเซีย สร้างการเติบโตในมูลค่าธุรกิจใหม่ได้ถึงร้อยละ 15 ในปี 2565 และมีการเติบโตเทียบปีต่อปีสูงถึงร้อยละ 26 มาจากช่วงครึ่งปีหลังของปี ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของเรามาจากทั้งฝั่งตัวแทนและช่องทางพันธมิตรธุรกิจ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการปรับตัวใช้เครื่องมือดิจิทัลและการเข้าถึงผู้มุ่งหวังใหม่ผ่านช่องทางดิจิทัล

“มูลค่าธุรกิจใหม่ในตลาดอื่น ๆ ลดลงร้อยละ 12 ในปี 2565 ในขณะที่ในประเทศอินเดีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา และไต้หวัน (จีน) เติบโตสองหลักในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งสามารถชดเชยการชะลอตัวของธุรกิจในประเทศออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และเวียดนาม ทั้งนี้ เอไอเอ ทาทา ประกันชีวิต ที่เราได้ร่วมทุนในประเทศอินเดีย สร้างการเติบโตในมูลค่าธุรกิจใหม่ได้ถึงร้อยละ 52 จากทุกช่องทางการขาย และถูกจัดอันดับให้เป็นบริษัทประกันชีวิตเอกชนอันดับ 3 ของประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565

“การฟื้นตัวอันรวดเร็วจากสถานการณ์โรคระบาดในตลาดต่าง ๆ ของเรา ตลอดจนความยืดหยุ่นและความเป็นมืออาชีพของตัวแทน ได้สร้างความมั่นใจให้เราว่า โปรแกรมพรีเมียร์ เอเจนซี อยู่ในตำแหน่งสำคัญที่สามารถช่วยสร้างโอกาสการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต และในช่วงครึ่งหลังของปี ตัวแทนของเรายังช่วยสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ให้กลับมาถึงร้อยละ 8 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากตัวแทนที่สร้างผลงานได้เพิ่มสูงขึ้นและยังมีจำนวนตัวแทนที่มากขึ้นอีกด้วยเมื่อเทียบกับปี 2564

“ในปี 2565 กลยุทธ์พันธมิตรระยะยาวกับธนาคารชั้นนำได้ช่วยสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ซึ่งมาจากการเติบโตของ Public Bank ในมาเลเซีย Bank Central Asia ในอินโดนีเซีย ASB Bank ในนิวซีแลนด์ รวมไปถึงพันธมิตรหลักทั้งหมดในอินเดีย The Bank of East Asia ในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ ยังมีส่วนสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ให้เติบโตอย่างยอดเยี่ยมในปี 2565 ภาพรวมของช่องทางพันธมิตรได้สามารถช่วยสร้างการเติบโตเชิงบวกในมูลค่าธุรกิจใหม่ได้ตลอดทั้งปี

“ผมยินดีที่ได้เห็นการเติบโตที่รวดเร็วจากกลยุทธ์สำคัญหลักของเราในปี 2565 ตลอดจนความสามารถจากการลงทุนในด้านที่สำคัญอย่างด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล และการวิเคราะห์ (TDA) ซึ่งมีส่วนช่วยสนับสนุนในการสร้างผลงานจากช่องทางต่าง ๆ ได้เพิ่มสูงขึ้น และสามารถสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าและเฉพาะเจาะจงได้ยิ่งกว่าให้กับลูกค้า เรายังคงมุ่งเน้นในการใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบทางการแข่งขันที่เหนือกว่าของเรา เพื่อให้เราสามารถยกระดับการดำเนินงานและคว้าโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งในทั้งหมด 18 ตลาดที่เราดำเนินธุรกิจอยู่

“เอไอเอ ดำเนินธุรกิจประกันชีวิตและประกันสุขภาพอยู่ในภูมิภาคที่น่าดึงดูดที่สุดในโลก ยิ่งในปัจจุบันที่ผู้บริโภคชาวเอเชียตระหนักถึงความสำคัญของความมั่นคงทางการเงินและความจำเป็นของการมีความคุ้มครองเพื่อปกป้องครอบครัว ผมมั่นใจอย่างยิ่งว่าลูกค้าระยะยาวของธุรกิจเอไอเอยังคงมีจำนวนมาก ทีมงานที่มีความทุ่มเทของเรายังมุ่งที่จะช่วยสนับสนุนผู้คนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น สอดคล้องตามกลยุทธ์หลักของเรา เพื่อสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราทุกคน”

เกี่ยวกับกลุ่มบริษัทเอไอเอ
กลุ่มบริษัทเอไอเอ และบริษัทในเครือ (รวมเรียกว่า “เอไอเอ” หรือ “กลุ่มบริษัทเอไอเอ”) เป็นกลุ่มบริษัทประกันชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และมีการบริหารจัดการอย่างอิสระ มีบริษัทในเครือและสำนักงานสาขาใน 18 ประเทศทั่วเอเชียแปซิฟิก ทั้งในประเทศจีน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย กัมพูชา อินโดนีเซีย เมียนมาร์ นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ศรีลังกา ไต้หวัน (จีน) เวียดนาม บรูไน และเขตปกครองพิเศษมาเก๊า และเป็นผู้ถือหุ้นร่วมทุนร้อยละ 49 ในประเทศอินเดีย

เอไอเอเริ่มต้นธุรกิจครั้งแรกในเมืองเซี่ยงไฮ้เมื่อศตวรรษที่ผ่านมา ในปี 2462 โดยเป็นผู้นำตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น) ในด้านเบี้ยประกันภัยรับจากธุรกิจประกันชีวิต และเป็นผู้นำตลาดโดยส่วนใหญ่ในภูมิภาค โดยมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 303 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565

กลุ่มบริษัทเอไอเอนำเสนอผลิตภัณฑ์ในการออมเงินระยะยาวและความคุ้มครองชีวิตแก่ลูกค้าบุคคลผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ทั้งการประกันชีวิต การประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินในวัยเกษียณ นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทเอไอเอยังให้บริการลูกค้าองค์กรผ่านผลิตภัณฑ์สวัสดิการพนักงาน ประกันสินเชื่อ และให้บริการเป็นผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพผ่านเครือข่ายตัวแทน พันธมิตรและพนักงานทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเอไอเอมีลูกค้าที่ถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิตรายบุคคลที่มีผลบังคับมากกว่า 41 ล้านกรมธรรม์ และเป็นสมาชิกกรมธรรม์ประกันกลุ่มมากกว่า 17 ล้านคน

กลุ่มบริษัทเอไอเอจดทะเบียนในกระดานหุ้นหลักของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ภายใต้รหัสหลักทรัพย์ “1299” สำหรับ American Depositary Receipts (ระดับ 1) มีการซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์ (Over-the-Counter) ภายใต้สัญลักษณ์ AAGIY

หมายเหตุ:

(1) การเติบโตบนพื้นฐานที่เทียบเคียงได้สำหรับ UFSG และ UFSG ต่อหุ้น หมายถึงการยกเว้นผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของการนำข้อกำหนดใหม่ของการดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงของฮ่องกง (HKRBC) มาถือปฏิบัติก่อนวันที่มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 และการปลดเปลื้องกำไรขั้นต้นส่วนเกินเผื่อความสามารถในการฟื้นกลับที่ถือไว้โดยกลุ่มบริษัท เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2565 ภายใต้ข้อกำหนดของสำนักงานกำกับดูแลธุรกิจประกันในฮ่องกง (HKIO) ฉบับก่อนหน้า
(2) เงินทุนที่มีอยู่ของกลุ่มบริษัทเอไอเอ ข้อกำหนดด้านเงินทุนที่กำหนดของกลุ่ม (GPCR) และข้อกำหนดด้านเงินทุนขั้นต่ำของกลุ่มบริษัท (GMCR) คำนวณตามวิธีผลรวมเงินกองทุนของแต่ละประเทศ (LCSM) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 อัตราส่วนวิธีผลรวมเงินกองทุนของแต่ละประเทศของกลุ่มบริษัท (Group LCSM) จะคำนวณเป็นอัตราส่วนของเงินทุนที่มีอยู่ของกลุ่มบริษัทต่อ GPCR ตามเกณฑ์ข้อกำหนดด้านเงินทุนที่กำหนดใหม่ (PCR) ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2565 อัตราส่วนนี้ คำนวณโดยใช้ GMCR ตามเกณฑ์ความต้องการเงินทุนขั้นต่ำ (MCR) ที่รายงานไว้ก่อนหน้านี้ โปรดดูหมายเหตุ 36 สำหรับรายละเอียดประกอบงบการเงินรวมที่ตรวจสอบแล้วของปี 2565
(3) ผลประกอบการประจำปี 2565 ของกลุ่มบริษัทได้รับการคำนวณและรายงานก่อนที่จะมีการประกาศใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS) 9 และ IFRS 17 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566