กรมควบคุมโรค เผยปีนี้พบโรคฉี่หนูแล้วเกือบ 2 พันราย เตือนผู้อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขังเลี่ยงลุยน้ำย่ำโคลนด้วยเท้าเปล่า !!

0
107

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยปีนี้พบโรคฉี่หนูแล้วเกือบ 2 พันราย ย้ำเตือนผู้ที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขังให้ระมัดระวังโรคฉี่หนูโดยเฉพาะช่วงหลังน้ำลด ไม่ควรเดินลุยน้ำย่ำดินโคลนด้วยเท้าเปล่าหรือแช่น้ำเป็นเวลานาน แนะสัญญาณป่วยโรคนี้ คือ มีไข้สูงเฉียบพลันหลังลุยน้ำ 1-2 สัปดาห์ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อโดยเฉพาะที่บริเวณน่องหรือโคนขา ควรรีบไปสถานพยาบาลใกล้บ้านเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง ที่สำคัญห้ามซื้อยากินเองเพราะอาจทำให้โรครุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้


วันนี้ (8 สิงหาคม 2567) นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ช่วงนี้มีฝนตกหนักหลายพื้นที่ทำให้บางพื้นที่เกิดน้ำท่วมขัง หนึ่งในผลกระทบทางสุขภาพที่พบได้บ่อยหลังจากมีน้ำท่วมขัง คือ โรคเลปโตสไปโรสิส (Leptospirosis) หรือโรคฉี่หนู เป็นโรคที่มักแพร่ระบาดในช่วงฤดูฝนหรือเกิดพายุมรสุม เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในปัสสาวะของสัตว์พาหะ เช่น หนู หมู วัว ควาย สุนัข แพะ แกะ เชื้อออกมาจากปัสสาวะของสัตว์และปนเปื้อนอยู่ในแหล่งน้ำ ลำคลอง แอ่งน้ำขังเล็กๆ และพื้นดินโคลนที่ชื้นแฉะต่างๆ เชื้อดังกล่าวมีชีวิตอยู่ได้นานเป็นเดือน เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้ทางบาดแผลหรือแค่รอยถลอก รอยขีดข่วน หรืออาจชอนไชผ่านผิวหนังที่อ่อนนุ่มจากการแช่น้ำนานๆ รวมถึงการรับเชื้อจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ
ข้อมูลจากระบบการรายงานโรค Digital Disease Surveillance (DDS) กองระบาดวิทยา ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม – 31 กรกฎาคม 2567 พบผู้ป่วยโรคเลปโตสไปโรสิส จำนวน 1,952 ราย ผู้เสียชีวิต 24 ราย (คิดเป็นอัตราป่วยตาย ร้อยละ 1.23) กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด 3 อันดับแรกคืออายุ 60 ปีขึ้นไป อัตราป่วย 4.38 ต่อประชากรแสนคน รองลงมาคือ อายุ 50-59 ปี (4.20) และอายุ 40-49 ปี (3.24) ตามลำดับ สำหรับกลุ่มอายุที่เสียชีวิตมากที่สุด 3 อันดับแรกคือ อายุ 30-39 ปี (ร้อยละ 2.16) รองลงมา คือ 60 ปีขึ้นไป (1.61) และ 50-59 ปี (1.44) ตามลำดับ ส่วนข้อมูลจากโปรแกรมตรวจสอบข่าวการระบาด กรมควบคุมโรค พบผู้ป่วยในอาชีพเกษตรกรสูงที่สุด ร้อยละ 30.77 รองลงมา คือ อาชีพรับจ้าง (23.08) และกรีดยางพารา (15.38) ส่วนใหญ่มีประวัติสัมผัสแหล่งน้ำ/ดินชื้นแฉะ (ร้อยละ 91.67) อาการสำคัญที่พบ คือ มีไข้เฉียบพลัน ร้อยละ 91.67 รองลงมา คือ หายใจหอบเหนื่อย (83.33) ไอแห้ง (66.67) และปวดกล้ามเนื้อโดยเฉพาะกล้ามเนื้อน่อง (58.33)


นายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงอาการของโรคฉี่หนู ว่า ระยะแรกผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายกับโรคติดเชื้อทั่วไป แต่สังเกตความแตกต่างได้ คือ หลังติดเชื้อประมาณ 2-10 วัน จะเริ่มมีไข้สูงอย่างเฉียบพลัน ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดเมื่อยตามตัว โดยเฉพาะที่บริเวณหลัง น่องและโคนขา ร่วมกับมีอาการหนาวสั่น บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และตาแดง หากมีอาการดังกล่าวภายหลังเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือแช่น้ำเป็นเวลานาน ขอให้นึกถึงโรคนี้ และรีบไปพบแพทย์หรือสถานพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็วเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง ที่สำคัญขอให้แจ้งประวัติการเดินลุยน้ำหรือย่ำโคลนให้แพทย์ที่ตรวจรักษาทราบด้วย เพื่อวินิจฉัยและให้การรักษาได้อย่างรวดเร็ว อย่าซื้อยามารับประทานเอง เพราะทำให้อาการรุนแรง เช่น ตับไตวาย มีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งข้อมูลการเสียชีวิตจากโรคฉี่หนูที่ผ่านมาพบว่าส่วนใหญ่มาพบแพทย์ช้า
โรคฉี่หนูสามารถป้องกันได้ ขอแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติ ดังนี้ 1.หลีกเลี่ยงการแช่น้ำเป็นเวลานาน หรือเดินลุยน้ำย่ำโคลนด้วยเท้าเปล่า โดยเฉพาะผู้ที่มีบาดแผลหรือรอยขีดข่วนที่เท้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หากจำเป็นต้องเดินลุยน้ำควรสวมรองเท้าบู๊ท หรือรองเท้าที่หุ้มเท้าเพื่อป้องกันไม่ให้สัมผัสน้ำโดยตรง กรณีมีบาดแผลควรปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ และรีบทำความสะอาดบาดแผลและร่างกายทันทีหลังจากเสร็จจากการทำงานหรือลุยน้ำ 2.หมั่นล้างมือล้างเท้าด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ 3.รับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่และร้อน อาหารที่ค้างมื้อควรเก็บในภาชนะที่ปิดมิดชิด และอุ่นให้เดือดหรือร้อนก่อนนำมารับประทานทุกครั้ง 4.ดูแลทำความสะอาดที่พัก บ้านเรือนและห้องครัวให้สะอาด หากทำความสะอาดบ้านหลังน้ำลดควรสวมถุงมือยางและรองเท้าบู๊ทขณะเก็บกวาด ควรเก็บขยะ โดยเฉพาะเศษอาหาร ในถังที่มีฝาปิดมิดชิด หรือทิ้งในถุงพลาสติกและมัดปากถุงให้แน่น เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งอาหารให้หนูเข้ามาในบ้าน 5.หากมีไข้สูง ร่วมกับปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อโดยเฉพาะที่น่อง หลังจากสัมผัสพื้นที่น้ำขัง/ดินที่มีโอกาสปนเปื้อนปัสสาวะสัตว์ ได้แก่ หนู วัว ควาย หมู สุนัข และแพะ ห้ามซื้อยามารับประทานเอง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติเสี่ยงให้ทราบ เพื่อพิจารณาการรักษาได้อย่างถูกต้อง สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับคำปรึกษาที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422


ข้อมูลจาก : กองระบาดวิทยา/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค
วันที่ 8 สิงหาคม 2567