ธนาคารกสิกรไทย แจ้งผลประกอบการ ปี 2566 กำไร 42,405 ล้านบาท

0
438

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังคงขยายตัวในลักษณะไม่ทั่วถึง (K-Shaped Recovery) โดยการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ในขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจในส่วนอื่นยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับขึ้นของต้นทุน ภาระหนี้และค่าครองชีพของครัวเรือน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอีกทั้งตลาดการเงินโลกในระหว่างปีค่อนข้างผันผวน โดยเริ่มฟื้นตัวกลับในช่วงปลายปีหลังจากที่ตลาดการเงินประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ได้แตะจุดสูงสุดแล้ว สำหรับในปี 2567 แม้เศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตดีขึ้น แต่ยังมีความท้าทายที่หลากหลายจากเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงจากการเติบโตที่ชะลอลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง และเศรษฐกิจจีนที่ยังเผชิญกับปัญหาความเปราะบางของภาคการเงินและตลาดอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามปัจจัยในประเทศ รวมถึงมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจของภาครัฐด้วยเช่นกัน

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย

สำหรับปี 2566 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 42,405 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.55% เมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งเป็นฐานที่ต่ำ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ทยอยปรับตัวดีขึ้นในบางส่วน อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปริมาณสูงใกล้เคียงกับปีก่อน เพื่อรองรับความไม่แน่นอนจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้น โดยธนาคารยังคงยึดหลักความระมัดระวังในการพิจารณาตั้งสำรองฯ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากกำไรจากการลงทุนในตราสารทางการเงินต่าง ๆ ตามสภาวะตลาด ผ่านนโยบายการกระจายความเสี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก รวมทั้งรายได้ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจท่องเที่ยวจากการเปิดประเทศ ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นตามสภาวะตลาด แม้ว่าการเติบโตของเงินให้สินเชื่อชะลอตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมุ่งเน้นการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ เพิ่มความยืดหยุ่นในการดูแลช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มต่าง ๆ ประกอบกับการยกระดับกระบวนการเพิ่มศักยภาพการปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มตามปริมาณธุรกิจ โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ 44.10% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 43.15%

รายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจำนวน 19,396 ล้านบาท หรือ 11.19% โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 148,444 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.61% ตามสภาวะตลาด ทั้งนี้ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิยังไม่ได้หักต้นทุนการบริหารจัดการหนี้ในเรื่องต่าง ๆ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และเมื่อเทียบกับฐานของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ มีอัตราผลตอบแทน (Net interest margin : NIM) อยู่ที่ 3.66% นอกจากนี้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจำนวน 3,950 ล้านบาท หรือ 9.81% ส่วนใหญ่เกิดจากการบริหารจัดการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และรายได้จากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรตเงินตราต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณธุรกิจ สอดคล้องกับการฟื้นตัวบางส่วนของภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงจำนวน 1,702 ล้านบาท หรือ 5.17% หลัก ๆ จากค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ ค่าธรรมเนียมรับจากการโอนเงิน และรายได้สุทธิจากการรับประกันภัยที่ลดลงซึ่งเป็นไปตามสภาวะตลาด

ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss : ECL) ในปี 2566 มีจำนวน 51,840 ล้านบาท ซึ่งยังเป็นการตั้งในปริมาณสูงใกล้เคียงกับปีก่อน จากการพิจารณาตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมความแข็งแกร่งรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นจากสภาวะเศรษฐกิจโลก และเพื่อดูแล ช่วยเหลือเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้ลูกค้า เพิ่มความความยืดหยุ่นในการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ โดยอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 152.23%

ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้นจำนวน 10,215 ล้านบาท หรือ 13.67% หลัก ๆ จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับรายได้ตามปริมาณธุรกิจ เช่น ค่าใช้จ่ายในการให้บริการลูกค้า ค่าใช้จ่ายทางการตลาด และค่าใช้จ่ายทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์การให้บริการ และรองรับความต้องการของลูกค้า รวมทั้งการดูแลรักษาความปลอดภัยข้อมูลลูกค้า นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจากมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในช่วงต้นปี สำหรับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ 44.10% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 43.15%

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 4,283,556 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 จำนวน 37,187 ล้านบาท หรือ 0.88% หลัก ๆ เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงินสุทธิ ซึ่งเป็นการบริหารสภาพคล่องตามปกติของธนาคาร รวมถึงสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ ตามสภาวะตลาดภายใต้การบริหารจัดการอย่างมีคุณภาพ ในขณะที่เงินให้สินเชื่อสุทธิชะลอตัวลงเล็กน้อย จากการยกระดับกระบวนการเพิ่มศักยภาพการปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รวมทั้งการช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบางภายหลังจากมาตรการช่วยเหลือของธนาคารแห่งประเทศไทยสิ้นสุดลงในปี 2566 ซึ่งมีส่วนช่วยให้ลูกค้ามีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้น สามารถประกอบธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถขับเคลื่อนการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโดยรวม นอกจากนี้ การรับรู้ดอกเบี้ยค้างรับได้พิจารณาจากจำนวนที่คาดว่าจะได้รับจริง ทั้งนี้ เงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) อยู่ที่ระดับ 3.19% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ 19.41% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 17.44%

KASIKORNBANK announces 2023 net profit of Baht 42,405 million

Ms. Kattiya Indaravijaya, Chief Executive Officer of KASIKORNBANK, said the Thai economy continued to grow in an uneven manner (K-shaped Recovery). The tourism sector has recovered while other economic activities remained pressured by rising costs, household debt burdens and living expenses, as well as a global economic slowdown. In addition, the global financial markets faced volatility during 2023 but rebounded somewhat by year-end after markets took noticed that the US policy rate had already reached its peak. As for the 2024 outlook, though its recovery may continue, the Thai economy is likely to be challenged by global economic risks, particularly from the slowdown of the US economy due to the impacts of high interest rates and China’s economic woes prompted by fragility in its financial and property sectors. Domestic factors, including the government’s stimulus measures, should also be closely watched.
KBank and its subsidiaries reported net profit for 2023 of Baht 42,405 million, an increase of 18.55% from previous year due to the low base coupled with the economy that has begun to gradually recover in some areas. However, KBank continues to set aside expected credit loss (ECL) at a high level, almost the same as the last year, in alignment with the consistently prudent approach to bolster the Bank’s strength amid the economic uncertainties. Non-interest income increased mainly from gains on investment in financial instruments according to market conditions through investment diversification policy in global assets and revenue related to the tourism businesses from the reopening of the country. Meanwhile, net interest income increased in line with market conditions. Although loans growth slightly decreased over the previous year due to focusing on asset quality management, increasing flexibility in providing assistance to the Bank’s various groups of customers, while upgrading the Bank’s new loans underwriting process to be more efficient. Operating expenses increased in line with the increase in revenue according to higher business volume. As a result, cost to income ratio stood at 44.10%, slightly increased from the previous year, which was at 43.15%.
Operating income increased by Baht 19,396 million or 11.19%, with net interest income of Baht 148,444 million, an increase of 11.61% according to market conditions. However, net interest income has not deducted various debt management costs and operating expenses and when compared to the earning assets, net interest margin thus stood at 3.66%. In addition, non-interest income increased by Baht 3,950 million or 9.81%, mainly due to the effective management of both domestic and international investment and the increase in revenue from trading and foreign exchange transactions in line with higher business volume that was consistent with the partial recovery of the tourism sector. However, net fees and service income decreased by Baht 1,702 million or 5.17% mainly due to a decrease in brokerage fees, fees from money transfer and net premiums earned – net according to market conditions.
Expected credit loss for 2023 was Baht 51,840 million, which was setting aside at a high level, almost on par with that of last year. Expected credit loss was set aside with continuous prudent approach to bolster the Bank’s strength and cope with uncertainties from global economic situation that may occur, enhance the customers’ business operation capabilities and increase flexibility in asset quality management. As of 31 December 2023, coverage ratio stood at 152.23%.
Other operating expenses increased by Baht 10,215 million or 13.67% mainly from the operating expenses, in line with the increase in operating income according to higher business volume, such as customer service expenses, marketing expenses, and IT related expenses to support services and accommodate customer demand including maintenance of customer information security. In addition, employee expenses increased, partly from one-time cost of living subsidy measure at the beginning of the year. As a result, cost to income ratio stood at 44.10%, slightly increased from the previous year, which was at 43.15%.
As of 31 December 2023, KBank and its subsidiaries’ total assets were Baht 4,283,556 million, an increase of Baht 37,187 million or 0.88% over the end of 2022. The majority came from an increase in net interbank and money market, which was KBank’s normal liquidity management and from financial assets according to market conditions under quality management. While net loans slightly decreased from upgrading the Bank’s new loans underwriting process to be more efficient and assets quality management under the economic slowdown including supporting vulnerable groups of customers after the Bank of Thailand’s relief measures end in 2023. This is to support customers to have a better financial status, hence allowing them to operate their businesses continuously, thereby driving the country’s overall economy to recovery. In addition, the recognition of accrued interest is determined based on the amount actually expected to be received. NPL gross to total loans was 3.19%. In addition, as of 31 December 2023, KASIKORNBANK FINANCIAL CONGLOMERATE’s Capital Adequacy Ratio (CAR) according to the Basel III Accord remained strong at 19.41%, with a Tier 1 Capital ratio of 17.44%.