กลุ่มบริษัทเอไอเอ แถลงผลประกอบการอันยอดเยี่ยมในครึ่งแรกของปี 2567มูลค่าธุรกิจใหม่ทำสถิติ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี และมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษีต่อหุ้นได้ตามเป้าผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ และเงินปันผลระหว่างกาลต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2

0
107

กลุ่มบริษัทเอไอเอ (“บริษัท”) มีความยินดีที่จะประกาศผลประกอบการของกลุ่มบริษัทในระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 โดยอัตราการเติบโตรายงานจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่:

ผลประกอบการของธุรกิจใหม่

  • มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB)เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 ถือเป็นสถิติใหม่ คิดเป็นมูลค่า 2,455 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • ยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 คิดเป็น 4,546 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับเบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP)
  • กำไรของธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 3.3 จุด เป็นร้อยละ 53.9

มูลค่าพื้นฐานของกิจการ

  • กำไรจากการดำเนินงานบนมูลค่าพื้นฐานของกิจการ (EV operating profit) อยู่ที่ 5,350 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 ต่อหุ้น
  • บนมูลค่าธุรกิจประกันภัย (ROEV) อยู่ที่ร้อยละ 16.5 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.9 ในช่วงตลอดปี 2566 ที่ผ่านมา
  • (EV Equity) อยู่ที่ 70.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ หลังการคืนทุนให้แก่ผู้ถือหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ต่อหุ้นในช่วงครึ่งปีแรก

รายงานทางการเงิน (IFRS)

  • กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) อยู่ที่ 3,386 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อหุ้น
  • อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ร้อยละ 15.3 เพิ่มขึ้นมาจากร้อยละ 13.5 ในปี 2566
  • กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) ต่อหุ้นตามเป้าหมายอัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อปี (CAGR) จากร้อยละ 9 เป็นร้อยละ 11 ตั้งแต่ปี 2566 ถึงปี 2569

เงินกองทุนส่วนเกิน

  • มูลค่าที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกิน (UFSG) อยู่ที่ 3,391 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อหุ้น
  • เงินกองทุนส่วนเกินสุทธิ (Net FSG)(3) อยู่ที่ 2,243 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังการลงทุนซ้ำในกรณีการเติบโตภายในของธุรกิจใหม่
  • อัตราส่วนทุนของผู้ถือหุ้น(4) อยู่ที่ร้อยละ 242 ตามหลักของฐานงบการเงินล่วงหน้า (pro forma basis)

เงินปันผลและโครงการซื้อหุ้นคืน

  • ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นในช่วงครึ่งปีแรก จำนวน 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐผ่านการจ่ายเงินปันผลและการซื้อหุ้นคืน
  • เพิ่มมูลค่า 2.0 พันล้านเหรียญสหรัฐสำหรับโครงการซื้อหุ้นคืนที่ประกาศในเดือนเมษายน ส่งผลให้ยอดรวมอยู่ที่ 12.0 พันล้านเหรียญสหรัฐ
  • เงินปันผลระหว่างกาลอยู่ที่ 44.50 เซนต์ฮ่องกงต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2

นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า

“เอไอเอได้แสดงผลงานอันยอดเยี่ยมในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เราประสบความสำเร็จในการสร้างผลกำไรทางธุรกิจใหม่ การเติบโตของกำไรอย่างมีนัยสำคัญ การสร้างเงินกองทุนส่วนเกินที่แข็งแกร่ง และคืนผลตอบแทนจำนวนมากให้แก่ถือหุ้น นอกจากนี้ เรายังได้ประกาศกำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) ต่อหุ้น และเป้าหมายอัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อปี (CAGR) จากร้อยละ 9 ไปเป็นร้อยละ 11 ตั้งแต่ปี 2566 ถึง 2569 ตัวเลขที่พาดหัวข่าวในวันนี้ ที่เรามีมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เป็นผลโดยตรงมาจากความสามารถของเอไอเอในการส่งมอบธุรกิจใหม่ที่ทำกำไรได้หลายครั้งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะสมอยู่ในตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาเพื่อรักษาการเติบโตของรายได้และกระแสเงินสด

“ในช่วงหกเดือนแรกของปี 2567 เราได้ให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น จำนวน 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐผ่านการจ่ายเงินปันผลและการซื้อหุ้นคืน คณะกรรมการได้ประกาศเพิ่มโครงการซื้อหุ้นคืนของเราอีก 2.0 พันล้านเหรียญสหรัฐในเดือนเมษายน ส่งผลให้ยอดรวมอยู่ที่ 12.0 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในวันนี้คณะกรรมการได้ประกาศเพิ่มเงินปันผลระหว่างกาลอีกร้อยละ 5.2 เป็น 44.50 เซนต์ฮ่องกงต่อหุ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งอย่างมากของเอไอเอ ตลอดจนความเชื่อมั่นในการดำเนินงานและทางการเงินในอนาคตของเรา

“เอไอเอ อยู่ในตำแหน่งที่ยอดเยี่ยมกับการใช้ประโยชน์จากโอกาสการเติบโตเชิงโครงสร้างระยะยาวในเอเชีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่น่าดึงดูดใจที่สุดในโลกธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ ผมมั่นใจว่าด้วยการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ที่ชัดเจนและมีเป้าหมายที่แน่วแน่ของเราอย่างต่อเนื่อง เราจะยังคงสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันที่เอไอเอมีอยู่อย่างมากมายได้ต่อไป เพื่อคว้าโอกาสที่อยู่ข้างหน้าเราในการสร้างมูลค่าผู้ถือหุ้นที่ยั่งยืนในระยะยาว”

เกี่ยวกับกลุ่มบริษัทเอไอเอ

กลุ่มบริษัทเอไอเอ และบริษัทในเครือ (รวมเรียกว่า “เอไอเอ” หรือ “กลุ่มบริษัทเอไอเอ”) เป็นกลุ่มบริษัทประกันชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และมีการบริหารจัดการอย่างอิสระ มีบริษัทในเครือและสำนักงานสาขาใน 18 ประเทศทั่วเอเชียแปซิฟิก ทั้งในประเทศจีน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง(5) ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย กัมพูชา อินโดนีเซีย เมียนมาร์ นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ศรีลังกา ไต้หวัน (จีน) เวียดนาม บรูไน และเขตปกครองพิเศษมาเก๊า(6) และเป็นผู้ถือหุ้นร่วมทุนร้อยละ 49 ในประเทศอินเดีย นอกจากนี้ เอไอเอ ได้เข้าไปถือหุ้นในบริษัทไชน่า โพสต์ ไลฟ์ ประกันชีวิต ในอัตราส่วนร้อยละ 24.99 

เอไอเอเริ่มต้นธุรกิจครั้งแรกในเมืองเซี่ยงไฮ้เมื่อศตวรรษที่ผ่านมา ในปี 2462 โดยเป็นผู้นำตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น) ในด้านเบี้ยประกันภัยรับจากธุรกิจประกันชีวิต และเป็นผู้นำตลาดโดยส่วนใหญ่ในภูมิภาค โดยมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 289 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567

กลุ่มบริษัทเอไอเอนำเสนอผลิตภัณฑ์ในการออมเงินระยะยาวและความคุ้มครองชีวิตแก่ลูกค้าบุคคลผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ทั้งการประกันชีวิต การประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินในวัยเกษียณ นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทเอไอเอยังให้บริการลูกค้าองค์กรผ่านผลิตภัณฑ์สวัสดิการพนักงาน ประกันสินเชื่อ และให้บริการเป็นผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพผ่านเครือข่ายตัวแทน พันธมิตรและพนักงานทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเอไอเอมีลูกค้าที่ถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิตรายบุคคลที่มีผลบังคับมากกว่า 42 ล้านกรมธรรม์ และเป็นสมาชิกกรมธรรม์ประกันกลุ่มมากกว่า 16 ล้านคน

กลุ่มบริษัทเอไอเอจดทะเบียนในกระดานหุ้นหลักของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ภายใต้รหัสหลักทรัพย์ “1299” และ ภายใต้รหัสหลักทรัพย์ “81299” ในกระดานหุ้นหลักของตลาดหลักทรัพย์จีน สำหรับ American Depositary Receipts (ระดับ 1) มีการซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์ (Over-the-Counter) ภายใต้สัญลักษณ์ “AAGIY”

หมายเหตุ:

  • ผลตอบแทนจากการดำเนินงานบนมูลค่าพื้นฐานของกิจการจะคำนวณเป็นรายปี โดยกำไรจากการดำเนินงานของมูลค่าธุรกิจพื้นฐานแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าธุรกิจที่เปิดเผยได้ ผลตอบแทนจากการดำเนินงานจากส่วนของผู้ถือหุ้นที่ได้รับการจัดสรร คำนวณเป็นกำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษีที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท เอไอเอ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ของค่าเฉลี่ยอย่างง่ายจากการเปิดและปิดส่วนของผู้ถือหุ้นที่ได้รับการจัดสรร
  • อัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ตั้งแต่ปี 2566 ถึง 2569 คำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยนคงที่
  • FSG สุทธิคำนวณเป็น UFSG หักส่วนเกินส่วนเกินที่ใช้เพื่อสนับสนุนธุรกิจใหม่ ค่าใช้จ่ายสำนักงานกลุ่มที่ไม่ได้จัดสรร ต้นทุนทางการเงิน และการเคลื่อนย้ายเงินทุนอื่นๆ ดังที่แสดงในข้อมูลมูลค่าเสริมที่ฝังไว้เพิ่มเติมสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2024 เพื่อความชัดเจน FSG สุทธิคือ คำนวณก่อนผลกระทบของผลต่างผลตอบแทนการลงทุนและรายการอื่นๆ
  • ส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกินสุทธิ คำนวณจากส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุน หักด้วยส่วนเกินที่ใช้เพื่อสนับสนุนธุรกิจใหม่ ค่าใช้จ่ายของกลุ่มบริษัทที่ไม่ได้จัดสรร ต้นทุนทางการเงิน และการเคลื่อนย้ายเงินทุนอื่น ๆ ดังที่แสดงในข้อมูลมูลค่าพื้นฐานส่วนที่เสริมไว้เพิ่มเติมสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2567 เพื่อความชัดเจนส่วนที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกินสุทธิ เป็นการคำนวณก่อนผลกระทบของผลต่างผลตอบแทนการลงทุนและรายการอื่น ๆ
  • อัตราส่วนทุนของผู้ถือหุ้น หมายถึง ทรัพยากรเงินทุนทั้งหมดที่คำนวณตามเกณฑ์ของผู้ถือหุ้น ซึ่งประกอบด้วยส่วนเกินทุนอิสระ ทุนหนี้ชั้นที่ 2 ที่มีสิทธิ และทุนที่ต้องการ (ตามที่ใช้ในการคำนวณมูลค่าพื้นฐานของเรา) เป็นเปอร์เซ็นต์ของทุนที่ต้องการ อัตราส่วนทุนของผู้ถือหุ้นในรูปแบบ Pro Forma ถือว่าเป็นผลกระทบของการซื้อคืนหุ้นที่เหลือจากโครงการซื้อคืนหุ้นมูลค่า 10.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเดิม และการซื้อหุ้นคืนเพิ่มเติม 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่เพิ่งประกาศในเดือนเมษายน 2567
  • เขตปกครองพิเศษฮ่องกง (Hong Kong SAR)
  • เขตปกครองพิเศษมาเก๊า (Macau SAR)