ฮ่องกง, 1 พฤศจิกายน 2565 – กลุ่มบริษัทเอไอเอ (“เอไอเอ” หรือ “บริษัท” รหัสหลักทรัพย์: 1299) แถลงผลประกอบการตัวชี้วัดธุรกิจที่สำคัญของไตรมาสที่สาม สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2565
สรุปข้อมูลการเงินที่สำคัญ
อัตราการเติบโตรายงานจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่
• มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 คิดเป็น 741 ล้านเหรียญสหรัฐ
• ตัวเลขมูลค่าธุรกิจใหม่เติบโตสูงขึ้นในทุกตลาด
• เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 เป็น 1,271 ล้านเหรียญสหรัฐ
• อัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB margin) อยู่ที่ร้อยละ 58.1
• เบี้ยประกันภัยรับรวม (TWPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 อยู่ที่ 8,656 ล้านเหรียญสหรัฐ
ระยะเวลาสามเดือน สิ้นสุด ณ 30 กันยายน ระยะเวลาเก้าเดือน สิ้นสุด ณ 30 กันยายน
หน่วย : ล้านเหรียญสหรัฐ
เว้นแต่ระบุเป็นอย่างอื่น ปี 2565 ปี 2564 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของ
ปีก่อน (อัตราแลกเปลี่ยนคงที่) เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (อัตราแลกเปลี่ยนตามจริง) ปี 2565 ปี 2564 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของ
ปีก่อน (อัตราแลกเปลี่ยนคงที่) เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (อัตราแลกเปลี่ยนตามจริง)
มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) 741 735 7% 1% 2,277 2,549 (8)% (11)%
อัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB margin) 58.1% 58.5% (0.3) จุด (0.4) จุด 56.1% 58.9% (2.9) จุด (2.8) จุด
เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) 1,271 1,249 8% 2% 4,049 4,309 (3)% (6)%
เบี้ยประกันภัยรับรวม (TWPI) 8,656 8,952 2% (3)% 27,224 27,463 3% (1)%
นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า “กลุ่มบริษัทเอไอเอส่งมอบผลประกอบการมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 ในไตรมาสที่สาม จากทุกกลุ่มธุรกิจที่สามารถรายงาน ซึ่งแสดงถึงผลประกอบการที่กลับมาของเราในไตรมาสที่สองและต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาสที่สาม
“การขายผ่านตัวแทนพรีเมียร์ เอเจนซี่ และช่องทางพันธมิตรของเราทั้งสองสร้างการเติบโตที่สูงขึ้นให้แก่มูลค่าธุรกิจใหม่ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่สามของปี 2564 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์มการขายที่เหนือกว่าทั่วภูมิภาคเอเชีย สำหรับช่องทางตัวแทน การสรรหาตัวแทนปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่สามและด้วยประสิทธิภาพการทำงานของตัวแทนที่สูงขึ้นทำให้มูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบปีต่อปี ส่วนพันธมิตรช่องทางธนาคารของเราก็ได้ส่งมอบการเติบโตที่ยอดเยี่ยมแก่มูลค่าธุรกิจใหม่ด้วยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งมากจากการเป็นผู้นำในด้านการดำเนินธุรกิจทั่วทั้งอาเซียน
“เอไอเอยังคงมุ่งเน้นที่การดำเนินธุรกิจตามลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าเอไอเอจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสการเติบโตเชิงโครงสร้างที่มีให้แก่บริษัท เรามุ่งพัฒนาด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล และการวิเคราะห์ (TDA) อย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า รวมถึงมอบประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมให้กับช่องทางการขายที่เป็นเลิศของเรา
“เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บริษัทดำเนินการเพื่อเข้าซื้อกิจการ Blue Cross แล้วเสร็จซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพเฉพาะทางในฮ่องกง และในเดือนกันยายน เราได้ประกาศการเข้าซื้อกิจการ MediCard ซึ่งเป็นองค์กรดูแลสุขภาพชั้นนำ (HMO) ในประเทศฟิลิปปินส์ การที่เอไอเอมีบริการใหม่เพิ่มเติมเหล่านี้จะช่วยเร่งกลยุทธ์ใหม่ด้านสุขภาพแบบบูรณาการของเรา ซึ่งจะมาส่งเสริมความมุ่งมั่นในการทำให้การดูแลสุขภาพสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ราคาโดนใจมากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อลูกค้าของเรา
“ฐานะทางการเงินของกลุ่มยังคงแข็งแกร่งท่ามกลางสถานการณ์ในตลาดเงินทุนทั่วโลกที่มีความไม่แน่นอน และเรายังสามารถคืนทุนส่วนเกินให้แก่ผู้ถือหุ้นผ่านโครงการซื้อคืนหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ โครงสร้างการจัดการเงินทุนของบริษัทช่วยทำให้เรามั่นใจได้ว่าบริษัทสามารถทนต่อแรงกดดันจากตลาดทุนและบริหารทรัพยากรให้เพียงพอ รวมถึงรักษาความยืดหยุ่นทางการเงิน เพื่อลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ และสร้างโอกาสในการเพิ่มมูลค่าของธุรกิจต่อไป
“ผมมั่นใจว่ากลยุทธ์การเติบโตของเราจะยังคงส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนให้ผู้คนหลายล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Lives”
สรุปผลการดำเนินงานของไตรมาส 3
มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) มีมูลค่า 741 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2564 ซึ่งเติบโตจากทุกส่วนงานที่รายงานผล ประกอบกับการเติบโตของทั้งช่องทางตัวแทนและพันธมิตร
ในขณะที่มาตรการควบคุมโรคระบาดในจีนแผ่นดินใหญ่ผ่อนคลายลง เอไอเอ ประเทศจีน ประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างแข็งแกร่ง โดยในไตรมาส 3 มีอัตราการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่คิดเป็นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2564 เราสร้างการเติบโตทั้งแบบปีต่อปีและไตรมาสต่อไตรมาสจากสาขาของเราที่ตั้งขึ้นก่อนการขยายทางภูมิศาสตร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการขายในเซียงไฮ้ นอกจากนี้ เรายังคงสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เติบโตแบบปีต่อปีได้อย่างยอดเยี่ยมจากการขยายสาขา ซึ่งทั้งการปฏิบัติงานผ่านระบบดิจิทัล ประกอบกับโปรแกรมพรีเมียร์ เอเจนซี่ ที่เป็นมืออาชีพ ทำให้เอไอเอ ประเทศจีน มีความแตกต่างเหนือคู่แข่ง อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการสรรหาตัวแทนใหม่ในระดับที่ดี รวมถึงผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจากทั้งตัวแทนใหม่และตัวแทนที่มีอยู่ของเราในไตรมาสที่สาม
เอไอเอ ฮ่องกง สามารถสร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจได้อีกไตรมาส ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งของยอดขายที่มาจากนักท่องเที่ยวในจีนแผ่นดินใหญ่ผ่านสาขามาเก๊า ตลอดจนช่องทางพันธมิตรธนาคารที่เราร่วมมือแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับธนาคารแห่งเอเชียตะวันออก (Bank of East Asia) ยังคงสร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง
เอไอเอ ประเทศไทย มีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ในไตรมาสที่สามจากการขายผ่านทุกช่องทาง รวมถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งจากพันธมิตรธนาคาร เราประสบความสำเร็จอย่างสูงในการสรรหาตัวแทนใหม่ ซึ่งช่วยทำให้มีจำนวนตัวแทนที่สร้างผลงานและสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ให้กับบริษัทได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเรายังคงมองเห็นแนวโน้มเชิงบวกจากไตรมาสที่สอง และเห็นถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจแบบไตรมาสต่อไตรมาสซึ่งมาจากยอดเคลมของโรคโควิด 19 ที่ลดลงในไตรมาสที่สาม
เอไอเอ ประเทศสิงคโปร์ และเอไอเอ ประเทศมาเลเซีย มีความแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งในไตรมาสที่สอง จนถึงไตรมาสที่สาม โดยทั้งสองตลาดมีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่เป็นตัวเลขสองหลักอีกครั้ง โดยในแต่ละตลาด การขายผ่านตัวแทนพรีเมียร์ เอเจนซี่ และช่องทางพันธมิตร สร้างมูลค่าใหม่ให้เติบโตขึ้น ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล และการวิเคราะห์ (TDA) ในประเทศสิงคโปร์ จำนวนตัวแทนที่สร้างผลงานมีจำนวนเพิ่มขึ้น ประกอบกับการผสมผสานผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความชื่นชอบมากขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยผลักดันการเติบโต ขณะเดียวกันเรายังได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมจากการเป็นพันธมิตรแบบเอ็กซ์คลูซีฟของเรากับ Public Bank Berhad ในมาเลเซีย
มูลค่าธุรกิจใหม่ในตลาดอื่น ๆ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่สามของปี 2564 ขณะเดียวกันธุรกิจของเราในประเทศออสเตรเลียและประเทศเกาหลีใต้ยังคงเห็นตัวเลขมูลค่าธุรกิจใหม่ลดลง แต่เรายังคงสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่โดยรวมที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากจากตลาดอื่น ๆ ในทุกส่วนที่รายงานผล โดยทาทา เอไอเอ ประกันชีวิต ในประเทศอินเดียยังคงส่งมอบมูลค่าธุรกิจใหม่อันยอดเยี่ยม ซึ่งได้แรงหนุนจากผลงานที่แข็งแกร่งจากแพลตฟอร์มการจัดจำหน่ายหลายช่องทาง
โดยภาพรวมเบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) ของกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 หรือเพิ่มเป็น 1,271 ล้านเหรียญสหรัฐ กำไรจากมูลค่าธุรกิจใหม่ยังคงทรงตัวในวงกว้างจากปีที่แล้วที่ร้อยละ 58.1 สำหรับสมมติฐานผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวที่ใช้ในการคำนวณมูลค่าธุรกิจใหม่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากที่แสดงในรายงานประจำปี 2564 ของเรา กำไรที่รายงานเป็นมูลค่าปัจจุบันของเบี้ยประกันภัยธุรกิจใหม่ (PVNBP) เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 10 จากร้อยละ 9 ในไตรมาสที่สามของปี 2564 ขณะที่เบี้ยประกันภัยรับรวม (TWPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เป็น 8,656 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเวลาเดียวกัน
ข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS) ฉบับที่ 17
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เอไอเอจะใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS) ฉบับที่ 9 และ 17 สำหรับงบการเงินรวมของกลุ่มบริษัท ตามที่ได้รายงานไปก่อนหน้านี้ การนำมาตรฐานการบัญชีเหล่านี้ไปใช้ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐศาสตร์พื้นฐานของธุรกิจของเรา โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ของกลุ่ม มูลค่าพื้นฐานของกิจการ ความสามารถในการชำระหนี้ เงินทุน การสร้างเงินสด และนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่รอบคอบ ยั่งยืน และก้าวหน้า
กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) และส่วนของผู้ถือหุ้นที่จัดสรรไว้จะยังคงเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพ IFRS หลักของกลุ่มบริษัท หลังจากนำมาตรฐานใหม่มาใช้
การเตรียมตัวสำหรับการนำมาตรฐานใหม่มาใช้ของเราอยู่ในระหว่างดำเนินการ เราตั้งใจที่จะให้ข้อมูลอัปเดตเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานะเต็มปี 2565 ในผลประกอบการประจำปีของเรา รวมถึงงบการเงินรวมที่ปรับปรุงใหม่ของกลุ่มบริษัทสำหรับปี 2565 ในไตรมาสที่สอง ของปี 2566 ก่อนที่จะทำการประกาศผลระหว่างปี 2566
เพื่อความชัดเจนในการนำมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS) ฉบับที่ 17 มาใช้จะช่วยแก้ปัญหาส่วนใหญ่ของความไม่ตรงกันทางบัญชีที่ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจซึ่งสร้างขึ้นระหว่างสินทรัพย์และหนี้สินในงบการเงินรวมของกลุ่มภายใต้ IFRS ฉบับที่ 4 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำ IFRS ฉบับที่ 9 และ 17 มาใช้จะช่วยขจัดการเคลื่อนไหวของมูลค่ายุติธรรมที่ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ติดลบ จำนวน 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐจาก 1.552 พันล้านเหรียญสหรัฐจากตราสารอนุพันธ์ด้านอัตราดอกเบี้ยที่รวมอยู่ในกำไรสุทธิที่รายงานในผลประกอบการระหว่างปี 2565 กลุ่มบริษัทใช้เครื่องมือทางการเงินที่เป็นอนุพันธ์เหล่านี้เพื่อการบริหารความเสี่ยง
ภาพรวม
เศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัวในช่วงต้นปี 2565 ตามการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2564 และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่ตลาดทุนทั่วโลกมีความผันผวนสูง การเติบโตของเอไอเอในไตรมาสที่สามของปี 2565 แสดงให้เห็นถึงข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญของเรา ทั้งในด้านความกว้างและความหลากหลายของตลาด ความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน รวมไปถึงคุณภาพของบุคลากรของเรา
แนวโน้มระยะยาวสำหรับธุรกิจของเอไอเอยังคงโดดเด่นโดยแรงสนับสนุนเชิงโครงสร้างของความมั่งคั่งทางการเงินที่เพิ่มขึ้น การเข้ามาแข่งขันในตลาดประกันชีวิตที่อยู่ในระดับต่ำ และการคุ้มครองสวัสดิการสังคมที่มีจำกัดทั่วเอเชีย เอไอเออยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นในการคว้าโอกาสมหาศาลในระยะยาวของตลาดประกันชีวิตและสุขภาพในเอเชีย ส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนในระยะยาวสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเรา
ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเอไอเอได้รับเบี้ยประกันภัยส่วนใหญ่เป็นเงินสกุลท้องถิ่น ซึ่งทำให้สินทรัพย์และหนี้สินของเรามีมูลค่าใกล้เคียงกัน เพื่อช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ทั้งนี้ ในรายงานงบการเงินรวมของกลุ่มที่มีการแปลเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เกิดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น เราจึงมีการเปรียบเทียบอัตราการเติบโตจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เว้นแต่ระบุเป็นอย่างอื่น เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนของผลการดำเนินธุรกิจ
หมายเหตุ:
1. เอไอเอ รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 และ 2564 ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 และ 30 กันยายน 2564 ตามลำดับ
2. มูลค่าทั้งหมดที่แสดงคำนวณจากสกุลเงินการรายงานตามจริง (เหรียญสหรัฐ) และอยู่บนพื้นฐานของอัตราแลกเปลี่ยนตามจริง (AER) เว้นแต่จะระบุเป็นอย่างอื่น การเปลี่ยนแปลงแสดงแบบปีต่อปีและตามอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (CER) เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น การเปลี่ยนแปลงบนอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ถูกคำนวณโดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่เฉลี่ยคงที่สำหรับปี 2565 และ 2564
3. สมมติฐานผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวที่ใช้ในมูลค่าธุรกิจประกันภัยสำหรับผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 ได้ผลลัพธ์เท่ากับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่แสดงในข้อมูลมูลค่าที่เพิ่มไว้ในรายงานประจำปี 2564 ของเรา สมมติฐานที่ไม่ใช่ทางเศรษฐกิจที่ใช้ในมูลค่าธุรกิจประกันภัย อ้างอิงตามข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งได้รับการปรับปรุงเพื่อสะท้อนมุมมองล่าสุดของเอไอเอเกี่ยวกับประสบการณ์ในอนาคตที่คาดว่าจะได้รับ
4. มูลค่าธุรกิจใหม่คำนวณตามสมมติฐานที่ใช้ ณ จุดขายมูลค่าธุรกิจใหม่ของกลุ่มบริษัท ไม่รวมมูลค่าธุรกิจใหม่ที่มาจากอัตราดอกเบี้ยที่ควบคุมไม่ได้
5. มูลค่าธุรกิจใหม่รวมถึงธุรกิจบำนาญ เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) และกำไรจากมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB margin) ไม่รวมธุรกิจบำนาญ และมีการรายงานก่อนหักดอกเบี้ยที่ควบคุมไม่ได้
6. เบี้ยประกันภัยรับปีแรกคิดเป็นร้อยละ 100 ของเบี้ยประกันภัยปีแรกต่อปี และร้อยละ 10 ของเบี้ยประกันภัยแบบชำระครั้งเดียว ก่อนการเอาประกันภัยต่อ และไม่รวมธุรกิจบำนาญ
7. เบี้ยประกันภัยรับรวมประกอบด้วยเบี้ยประกันภัยต่อร้อยละ 100 เบี้ยประกันภัยปีแรกร้อยละ 100 เและเบี้ยประกันภัยแบบชำระครั้งเดียวร้อยละ 10 ก่อนการเอาประกันภัยต่อ
8. ในบริบทของส่วนธุรกิจที่รายงานของเรา ฮ่องกง หมายถึงการดำเนินงานในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (SAR) และเขตบริหารพิเศษมาเก๊า สิงคโปร์ หมายถึงการดำเนินงานในสิงคโปร์และบรูไน และตลาดอื่นๆ หมายถึง การดำเนินงานในออสเตรเลีย กัมพูชา อินเดีย อินโดนีเซีย เมียนมาร์ นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ศรีลังกา ไต้หวัน (จีน) และเวียดนาม
9. เบี้ยประกับภัยรับปีแรก และมูลค่าธุรกิจใหม่สำหรับตลาดอื่น ๆ รวมถึงผลประกอบการจากการถือหุ้นร้อยละ 49 ในบริษัท ทาทา เอไอเอ ประกันชีวิต จำกัด (Tata AIA Life) เบี้ยประกันภัยปีแรก และมูลค่าธุรกิจใหม่ไม่นับรวมการมีส่วนร่วมใด ๆ จากการถือหุ้นร้อยละ 24.99 ของเราใน China Post Life Insurance Co., Ltd. (China Post Life) เพื่อความชัดเจน เบี้ยประกันภัยรับรวม จะไม่รวมการสนับสนุนใด ๆ จาก Tata AIA Life และ China Post Life
10. ผลประกอบการของทาทา เอไอเอ ประกันชีวิต คำนวณโดยใช้งวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 และงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ในผลรวมของเอไอเอสำหรับไตรมาสที่สาม สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 และไตรมาสที่สาม สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 ปี 2564 ตามลำดับ
เกี่ยวกับกลุ่มบริษัทเอไอเอ
กลุ่มบริษัทเอไอเอ และบริษัทในเครือ (รวมเรียกว่า “เอไอเอ” หรือ “กลุ่มบริษัทเอไอเอ”) เป็นกลุ่มบริษัทประกันชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และมีการบริหารจัดการอย่างอิสระ มีบริษัทในเครือและสำนักงานสาขาใน 18 ประเทศทั่วเอเชียแปซิฟิก ทั้งในประเทศจีน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง(3) ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย กัมพูชา อินโดนีเซีย เมียนมาร์ นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ศรีลังกา ไต้หวัน (จีน) เวียดนาม บรูไน และเขตปกครองพิเศษมาเก๊า(4) และเป็นผู้ถือหุ้นร่วมทุน 49% ในประเทศอินเดีย
เอไอเอเริ่มต้นธุรกิจครั้งแรกในเมืองเซี่ยงไฮ้เมื่อศตวรรษที่ผ่านมา ในปี 2462 โดยเป็นผู้นำตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น) ในด้านเบี้ยประกันภัยรับจากธุรกิจประกันชีวิต และเป็นผู้นำตลาดโดยส่วนใหญ่ในภูมิภาค โดยมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 302 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565
กลุ่มบริษัทเอไอเอนำเสนอผลิตภัณฑ์ในการออมเงินระยะยาวและความคุ้มครองชีวิตแก่ลูกค้าบุคคลผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ทั้งการประกันชีวิต การประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินในวัยเกษียณ นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทเอไอเอยังให้บริการลูกค้าองค์กรผ่านผลิตภัณฑ์สวัสดิการพนักงาน ประกันสินเชื่อ และให้บริการเป็นผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพผ่านเครือข่ายตัวแทน พันธมิตรและพนักงานทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเอไอเอมีลูกค้าที่ถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิตรายบุคคลที่มีผลบังคับมากกว่า 40 ล้านกรมธรรม์ และเป็นสมาชิกกรมธรรม์ประกันกลุ่มมากกว่า 17 ล้านคน
กลุ่มบริษัทเอไอเอจดทะเบียนในกระดานหุ้นหลักของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ภายใต้รหัสหลักทรัพย์ “1299” สำหรับ American Depositary Receipts (ระดับ 1) มีการซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์ (Over-the-Counter) ภายใต้สัญลักษณ์ AAGIY