เอสซีจี แถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 เร่งสู้วิกฤตต้นทุนพลังงานพุ่ง วัฏจักรปิโตรเคมีขาลงต่ำสุด พลิกเกมส์รุกเข้าสู่ 3 ธุรกิจเทรนด์โลก พลังงานหมุนเวียน ธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจรรายใหญ่ในอาเซียน และ Smart Living คุมเข้มการลงทุน มั่นใจการเงินแข็งแกร่ง

0
699

เอสซีจี เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 ยอดขายและกำไรลดลง จากวิกฤตต้นทุนพลังงานทั่วโลกพุ่งสูงและผันผวนอย่างมาก ซึ่งเป็นผลจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจจีนยังคงชะลอตัวจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์ รวมทั้งวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงถึงจุดต่ำสุดในรอบ 20 ปี SCGC กระทบหนักจากต้นทุนวัตถุดิบสูงและกำลังการผลิตใหม่เกินความต้องการตลาด ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเจอพิษต้นทุนพลังงานพุ่ง ส่วน SCGP ยังไปได้ดี แม้เจอความผันผวนพลังงาน ภาพรวมเอสซีจีมีสถานะการเงินแข็งแกร่ง จากการคุมเข้มสภาพคล่อง เน้นลงทุนอย่างรอบคอบในธุรกิจศักยภาพสูงและยั่งยืน พลิกเกมส์เชิงรุกเข้าสู่ 3 ธุรกิจใหม่ 1) พลังงานหมุนเวียน 2) ธุรกิจโลจิสติกส์ ครบวงจรรายใหญ่ในอาเซียน 3) ธุรกิจ Smart Living มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวก คุ้มค่า ปลอดภัย รักษ์โลก มั่นใจเป็นธุรกิจศักยภาพสูงตอบเมกะเทรนด์โลก

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า ผลประกอบการเอสซีจี ไตรมาส 3 ปี 2565 ได้รับผลกระทบอย่างสูงจากวิกฤตต้นทุนพลังงานรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี สืบเนื่องจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ต้นทุนพลังงานเอสซีจีเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมทั้งวัฏจักรปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาลงต่ำสุดในรอบ 20 ปี นอกจากนั้น เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวจากการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นทั่วโลก ประกอบกับนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน ยังทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวเอสซีจีมีความพร้อมในการรับมือกับวิกฤตซ้อนวิกฤตครั้งนี้ โดยยังคงรักษาเสถียรภาพทางการเงินอย่างแข็งแกร่งลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม ทบทวนการลงทุนและชะลอโครงการใหม่ที่ไม่เร่งด่วน มุ่งโครงการที่ผลตอบแทนเร็ว สอดคล้องกลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจ อาทิ โครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนาม ซึ่งมีความคืบหน้าตามแผน ร้อยละ 97 นอกจากนั้น ในไตรมาส 3 ปี 2565 ได้ออกหุ้นกู้ทั้งกลุ่มรวม 35,000 ล้านบาท ซึ่งช่วยสร้างความเข้มแข็งทางการเงินให้มากยิ่งขึ้น


นอกจากนั้น เร่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างทันท่วงที ด้วยการเข้าสู่ 3 ธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูงและตอบโจทย์เมกะเทรนด์ของโลก ได้แก่

1) ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เอสซีจีมุ่งลดต้นทุน เร่งพัฒนาพลังงานหมุนเวียนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยใช้พลังงานชีวมวล (Biomass) จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และเชื้อเพลิงจากขยะ (Refused Derived Fuel : RDF) ทดแทนพลังงานฟอสซิล โดยไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ธุรกิจซีเมนต์ในประเทศไทยมีสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 40 จากเชื้อเพลิงทั้งหมดในการผลิต ส่งผลให้ช่วง 9 เดือนของปี 2565 เอสซีจีมีสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 34 จากร้อยละ 18 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และพลังงานแสงอาทิตย์ 195 เมกะวัตต์ (ณ เดือนกันยายน ปี 2565) อีกทั้งต่อยอดเป็นธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ครบวงจรสำหรับตลาดที่อยู่อาศัย โรงงานและนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ SCG Solar Roof Solutions และบริษัท เอสซีจีคลีนเนอร์ยี จำกัด (SCG Cleanergy) และพัฒนาระบบซื้อขายไฟฟ้าได้ผ่านแพลตฟอร์ม Smart grid มีฐานลูกค้าชั้นนำครอบคลุมทั้งภาครัฐและเอกชน

ล่าสุด SCGC ร่วมลงทุนกับบริษัท Denka ประเทศญี่ปุ่น ผลิตอะเซทิลีนแบล็ค (Acelylene Black) ใช้เป็นส่วนประกอบในแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบชาร์จไฟได้สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และใช้เป็นวัสดุสำหรับผลิตสายส่งไฟฟ้าแรงสูงเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง 2) ธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจรรายใหญ่ในอาเซียน (ASEAN Logistics) ควบรวมธุรกิจโลจิสติกส์กับบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรรายใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน ด้วยบริการที่หลากหลายทั้งบริการคลังสินค้า ระบบห้องเย็น บริการขนส่งสินค้าทั้งทางบก เรือ อากาศ บริการท่าเทียบเรือ และบริการนำเข้า-ส่งออกครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ
3) ธุรกิจ Smart Living ยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวก คุ้มค่า ปลอดภัย รักษ์โลก ได้แก่ นวัตกรรมอัจฉริยะเพื่อคุณภาพอากาศและประหยัดพลังงาน อาทิ
– SCG Active AIR Quality SCG Bi-ion และ SCG HVAC Air Scrubber โซลูชันจัดการคุณภาพอากาศ กำจัดเชื้อโรค และลดการใช้พลังงานในอาคาร ขณะนี้ได้ติดตั้งแล้วที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โรงพยาบาล อาทิศิริราช ราชวิถี ราชพิพัฒน์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ห้างสรรพสินค้า อาทิ เทอร์มินอล 21 พัทยา เซ็นทรัล อยุธยา อาคารสำนักงาน อาทิ เอสซีจี สำนักงานใหญ่ Kloud by Kbank อาคารอับดุลราฮิม โซน lobby และสถาบันการศึกษา อาทิ วชิราวุธวิทยาลัย โรงเรียนเซนต์ดอมินิก โรงเรียนอำนวยศิลป์
– Trinity IOT Ecosystem เทคโนโลยีควบคุมการเปิด-ปิดนวัตกรรมในบ้านอัจฉริยะ
– Wellness Home Hub เทคโนโลยีวัดค่าสุขภาพของผู้อาศัยในบ้าน หากเกิดเหตุฉุกเฉินจะแจ้งเตือนไปยังโรงพยาบาลได้ทันที

นอกจากนี้ SCGC ลงทุนซื้อหุ้นร้อยละ 70 ซื้อหุ้นในบริษัทซีพลาสต์ (Sirplaste) ประเทศโปรตุเกส เดินหน้าขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง SCGC GREEN POLYMER ป้อนตลาดยุโรปและแอฟริกา ขณะเดียวกัน SCGPได้ขยายการลงทุนสู่ตลาดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์คุณภาพสูง (Deltalab, S.L.) ประเทศสเปน ส่งออกครอบคลุมตลาดทั่วโลก ทั้งยังขยายกิจการรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ซึ่งมีความต้องการสูงและตอบเทรนด์รักษ์โลก ได้แก่ Peute Recycling B.V. (Peute) ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ Jordan Trading Inc. (Jordan) ประเทศสหรัฐอเมริกา
งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ในไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2565 มีรายได้จากการขาย 142,391 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลงตามความต้องการของตลาดที่ลดลง สืบเนื่องจากวัฏจักรขาลงของธุรกิจเคมิคอลส์ และมีกำไรสำหรับงวด 2,444 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 75 จากไตรมาสก่อน
จากส่วนต่างราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับลดลง ต้นทุนพลังงานที่ปรับสูงขึ้น ประกอบกับในไตรมาสก่อนเป็นช่วงที่มีรายได้เงินปันผลรับ ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 สาเหตุหลักจากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและธุรกิจแพจเกจจิ้งมีราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาด ในขณะที่กำไรสำหรับงวดลดลงร้อยละ 64 เนื่องจากส่วนต่างราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2565 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 447,419 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาด โดยมีกำไรสำหรับงวด 21,225 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 45 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากต้นทุนวัตถุดิบของธุรกิจเคมิคอลส์และต้นทุนพลังงานสูงขึ้น ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจเคมิคอลส์ลดลงเอสซีจีมีการปรับกลยุทธ์นวัตกรรมสินค้าและบริการ HVA (High Value Added Products & Services) โดยได้ยกระดับเกณฑ์การพิจารณาให้เข้มข้นขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก เน้นการปรับตัวให้ทันต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างผลกำไรให้สูงขึ้น ภายใต้เกณฑ์ใหม่ เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการ HVA ในช่วง 9 เดือนของปี 2565 อยู่ที่ 152,888 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34 ของยอดขายรวม ทั้งนี้ ยังมีสัดส่วนของการพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development – NPD) และ Service Solution คิดเป็นร้อยละ 17 และ 6 ของรายได้จากการขายรวม ตามลำดับ
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ใน 9 เดือนของปี 2565 ทั้งสิ้น 203,134 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45 ของยอดขายรวม เท่ากันกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 มีมูลค่า 929,931 ล้านบาท โดยร้อยละ 46เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน (นอกเหนือจากประเทศไทย)ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 และ 9 เดือนของปี 2565 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้
ธุรกิจเคมิคอลส์ (SCGC) ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 มีรายได้จากการขาย 57,351 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 14 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาขายสินค้าปรับตัวลงจากอุปสงค์ที่ลดลงโดยมีขาดทุนสำหรับงวด 339 ล้านบาท จากส่วนต่างราคาขายสินค้าและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2565 ธุรกิจเคมิคอลส์มีรายได้จากการขาย 193,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 6,953 ล้านบาท ลดลง
ร้อยละ 72 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลงธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 มีรายได้จากการขาย 51,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลยุทธ์การขายสินค้าส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและในภูมิภาค
โดยมีกำไรสำหรับงวด 530 ล้านบาท ทั้งนี้หากไม่รวมรายการด้อยค่าสินทรัพย์และรายการสำคัญ (Key Items) จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติสำหรับงวดอยู่ที่ 851 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 29 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากต้นทุนวัตถุดิบรวมทั้งพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2565 ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีรายได้จากการขาย 155,329 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 4,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 57
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้หากไม่รวมรายการด้อยค่าสินทรัพย์และรายการสำคัญ (Key Items) กำไรจากการดำเนินงานปกติสำหรับงวดเท่ากับ 4,827 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 25 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
SCGP ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 มีรายได้จากการขาย 37,943 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายสินค้าที่สะท้อนต้นทุน การเติบโตของธุรกิจเยื่อและกระดาษ ความต้องการบรรจุภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงการควบรวมกิจการ (M&P) บริษัทรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ Peute Recycling B.V. (Peute) ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ Jordan Trading Inc. (Jordan) ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยถูกรวมในงบการเงินรวมตั้งแต่เดือนกรกฎาคม และเดือนกันยายน 2565 ตามลำดับ กำไรสำหรับงวด 1,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการขยายกิจการที่กล่าวข้างต้น ประกอบกับอุปสงค์กลุ่มสินค้าอาหารเครื่องดื่มในอาเซียนเพิ่มขึ้น
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2565 SCGP มีรายได้จากการขาย 112,559 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศฟิลิปปินส์ (UPPC 3) การขยายธุรกิจจากการควบรวมกิจการ (M&P) ในบริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูป (Duy Tan) ประเทศเวียดนาม ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษ (Intan Group) ประเทศอินโดนีเซีย ผู้ผลิตวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ (Deltalab, S.L.) ประเทศสเปน และธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ (Peute) รวมถึงราคาขายสินค้าที่สะท้อนต้นทุน และมีกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 5,351 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มขึ้น
นายรุ่งโรจน์กล่าวว่า “วิกฤตครั้งนี้มีความท้าทายสูง แต่ผมเชื่อมั่นว่า เอสซีจีจะผ่านสถานการณ์นี้และกลับมาเข้มแข็งกว่าเดิมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา จากการปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจอย่างทันท่วงที ลดต้นทุน ชะลอโครงการลงทุนที่ไม่เร่งด่วนปรับแผนการผลิตให้เหมาะกับความต้องการตลาด ขณะเดียวกันลงทุนเพิ่มในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูง (New S-Curve) ส่วนธุรกิจที่ SCGP เข้าไปลงทุน ยังเติบโตต่อเนื่องด้วยดีสถานะทางการเงินและกระแสเงินสดของเอสซีจียังแข็งแกร่ง ภาระการลงทุนน้อยลง เนื่องจากโครงการ LSP เสร็จสิ้นไปแล้ว 97% ด้วยการสื่อสารสร้างความเข้าใจแก่พนักงาน คู่ค้า คู่ธุรกิจ และลูกค้าอย่างต่อเนื่อง จึงได้รับความร่วมมือฝ่าวิกฤตครั้งนี้เป็นอย่างดี”

Press Release

SCG Announces Q3/2022, Combating Energy Cost Surge and Sharp Decline from Petrochemical trough cycle with Investment reprioritization and strong financial liquidity; Entering into 3 Megatrend Businesses:
Renewable Energy, ASEAN Logistics, and Smart Living

SCG has announced Q3/2022 operating results, reflecting a drop in sales and profits due to soaring and volatile global energy prices. This is a result of the Russia-Ukraine conflict, the global economic slowdown induced by the global rise in interest rates, and China’s economic slowdown resulting from its Zero-Covid Policy.
In conjunction with the petrochemical trough, the industry has hit its lowest point in the cycle in 20 years. SCGC is impacted by the high cost of raw materials and excessive capacity addition causing oversupply. The Cement and Building Materials business also faced skyrocketing energy costs. Nevertheless, SCGP is performing well despite energy cost increase. Overall, SCG has a solid financial position due to its rigorous liquidity management and targeted investments in high-potential and sustainable businesses. SCG proactively enters into three
new businesses:1) Renewable Energy, 2) ASEAN Logistic, and 3) Smart Living. The strategy seeks to improve
the quality of life and provides customers and the society with convenience, affordability, safety, and environmental responsibility.
Roongrote Rangsiyopash, President and CEO of SCG, disclosed, “SCG’s Q3/2022 operating results
were significantly impacted by the energy prices that reached 10-years highs. This was the consequence of
the Russia-Ukraine conflict, which has resulted in a significant increase in SCG’s energy costs on top of the deepest petrochemical trough in 20 years. Global economic slowdown is expected as global interest rates rise. This will be exacerbated by China’s economic downturn as a result of its Zero-Covid Policy.
SCG is well-equipped to handle this recurring crisis while maintaining solid financial stability. It has scaled back costs and expenses, reassessed investments, and deferred new non-urgent projects. It focuses on leveraging projects with quick returns that are consistent with business expansion strategies, such as the LSP petrochemical project in Vietnam, whose construction progressed on plan and reached 97% completion. To further strengthen
its financial position, debentures totaling 35,000 MB were also issued in Q3/2022.

Furthermore, the company accelerates the development of innovations to meet the needs of customers promptly by entering into three new businesses with high potential and addressing the needs of global megatrends as follows:
1) Renewable Energy. SCG seeks to lower costs and speed up renewable energy development with satisfactory outcomes by employing biomass from agricultural byproducts and municipal solid waste (Refused Derived Fuel or RDF) in place of fossil fuels. In Q3/2022, Thailand’s cement operations used 40% for their total fuel from renewable fuel. Consequently, in 9 months of 2022, the proportion of renewable fuel use climbed from 18% to 34% y-o-y with solar energy making up 195 megawatts
(as of September 2022). SCG also expands into solar energy businesses for residential and industrial estate sectors, namely SCG Solar Roof Solutions, and SCG Cleanergy Company Limited. Electricity can be traded via a smart grid platform with a leading customer both in public and private sector customers.
SCGC has recently entered into a joint venture agreement with Denka Company Limited, Japan,
to produce acetylene black, material primarily used as a component in producing lithium-ion rechargeable batteries for electric vehicles (EV) and used in applications for high-voltage transmission cables to generate electricity from offshore wind power.

2) ASEAN Logistics. The company merged its logistics business with JWD InfoLogistics Public Company Limited and became ASEAN’s top integrated logistics and supply chain business, offering a wide range of services such as warehousing, cold storage systems, cargo services by land, sea, and air, docking services, import and export services, covering customers’ needs from end to end.

3) Smart Living. The business enhances the quality of life and provides customers and the society with convenience, affordability, safety, and environmental responsibility. Examples are Smart innovations for air quality and energy savings, such as

– SCG Active AIR Quality, SCG Bi-ion, and SCG HVAC Air Scrubber. Air quality management solutions that help eliminate virus and bacteria and reduce energy consumption in buildings. These solutions are now installed at Chulabhorn Research Institute, hospitals (Siriraj, Rajavithi, Ratchaphiphat), Queen Sirikit National Convention Center and department stores (Terminal 21 Pattaya, Central Ayutthaya,
office buildings (SCG Head Office, Kloud by Kbank, the lobby zone of Abdulrahim Place) and educational institutes (Saint Dominic School, Vajiravudh College, Amnuay Silpa School);
– Trinity IOT Ecosystem. A smart-home innovative platform technology that connects and remotely operates smart home appliances
– Wellness Home Hub. A technology that measures and monitors the well-being of home residents.
The system will promptly notify the hospital in case of any emergency.
In addition, SCGC continues to expand its production capacity of high-quality post-consumer recycled resins SCGC GREEN POLYMER at Sirplaste, Portugal, after acquiring a 70% stake, to supply the markets in Europe and Africa. Concurrently, SCGP expanded its investment in the high-quality medical supply market (Deltalab, S.L.) in Spain to export to global markets. It has also expanded its packaging materials recycling business, which is in high demand and is aligned with environmentally responsible trends, such as acquisitions of Peute Recycling B.V. (Peute) in the Netherlands, and Jordan Trading Inc. (Jordan) in the United States.

SCG’s unreviewed Operating Results for Q3/2022 registered the Revenue from Sales of 142,391 MB,
a drop of 7% q-o-q, due to lower chemical’s product prices driven by softer petrochemical’s demand due to the trough of Chemicals business. Profit for the Period was at 2,444 MB, a decrease of 75% q-o-q largely attributable to lower chemical’s spreads, higher energy cost, together with lower seasonal dividend. However, on a y-o-y basis, Revenue from Sales has climbed by 8% y-o-y, mostly due to higher product prices in-line with the market of cement and building materials business and SCGP. Profit for the Period declined by 64% y-o-y due to lower chemical’s spreads and lower equity income.

In 9 months of 2022, SCG registered Revenue from Sales of 447,419 MB, a rise of 15% y-o-y. This is owing to higher sales across all businesses mainly from higher product prices in-line with the market. Profit for the Period totaled 21,225 MB, down 45% y-o-y, as a result of higher feedstock and energy costs as well as lower equity income in Chemicals business.
SCG has modified its HVA (High Value Added products and services) strategy by tightening the criteria to increase product competitiveness in the global market. The efforts are to keep up-to-speed in launching products in response to the rapid change in customer’s needs and to increase profitability. Under the new criteria, SCG’s sales of HVA products and services in 9 months of 2022 amounted to 152,888 MB and accounted for 34% of total Revenue from Sales. Furthermore, the proportion of New Products Development (NPD) and Service Solutions accounted for 17% and 6% of total Revenue from Sales, respectively.
In addition, SCG’s Revenue from operations outside of Thailand, including export sales from Thailand in
9 months of 2022 registered 203,134 MB or 45% of total Revenue from Sales, equivalent to the same period last year.
The total assets of SCG, as of September 30, 2022, amounted to 929,931 MB, of which 46%represented assets in ASEAN (excluding Thailand).
The Q3/2022 and 9 months of 2022 Operating Results by business units are as follows:
Chemicals Business (SCGC) recorded Q3/2022 Revenue from Sales of 57,351 MB, down 5% y-o-y and 14% q-o-q due to lower product prices from dismal demand. Loss for the Period was 339 MB from lower margins and equity income from associates.
In 9 months of 2022, Chemicals Business recorded Revenue from Sales of 193,302 MB, increased 12%
y-o-y due to higher product prices. Profit for the Period totaled 6,953 MB, down 72% y-o-y due to higher feedstock costs and lower equity income from associates.

Cement-Building Materials Business recorded Q3/2022 Revenue from Sales of 51,558 MB, which increased 17% y-o-y thanks to commercial strategy with lead to higher sales in both domestic and regional markets. Profit for the period was 530 MB. Excluding the asset impairment and key items, Normalized profit came in at 851 MB a decline of 29%
y-o-y, mainly due to higher raw materials and energy costs.
In 9 months of 2022, Cement-Building Materials Business recorded Revenue from Sales of 155,329 MB,
an increase of 14% y-o-y. Profit for the period came in at 4,506 MB, up 57% y-o-y. Excluding the asset impairment and key items, normalized Profit for the Period would have been 4,827 MB or down 25% y-o-y
SCGP recorded Q3/2022 Revenue from Sales of 37,943 MB, an increase of 19% y-o-y due to the adjusted product prices, growth in pulp and paper business, steadily increase in demand for foodservice packaging, as well as the merger and partnership (M&P) with packaging material recycling company Peute Recycling B.V. (Peute), in the Netherlands, and Jordan Trading Inc. (Jordan), in the United States whose financial performance were included the consolidated financial statements from July and September 2022, respectively. Profit for the Period stood at 1,837 MB, an increase of 3% y-o-y primarily due to continuous business expansions under the M&P strategy and improved demand for food and beverage packaging in ASEAN.
In 9 months of 2022, SCGP recorded Revenue from Sales of 112,559 MB, up 26% y-o-y due to
the commencement of commercial operation of a packaging paper expansion project in the Philippines (UPPC 3), business expansion from M&P in rigid plastic packaging manufacturing business (Duy Tan) in Vietnam, corrugated container producers (Intan Group) in Indonesia, and medical supply manufacturer (Deltalab, S.L.) in Spain and packaging materials recyclings business (Peute). The higher Revenue from Sales was also from the adjusted prices of products to reflect costs. Profit for the Period totaled 5,351 MB, down 13% y-o-y, from higher raw materials and energy costs.

Roongrote said, “This crisis is incredibly challenging, but we are confident that SCG will overcome it and emerge stronger than ever thanks to our strategies, which include making timely adjustments to business plans, reducing costs, delaying non-urgent investment projects, and adjusting production plans to meet market demands. Meanwhile, we also invest more in new businesses with high potential (New S-Curve). For SCGP, its investment portfolio companies continue to expand healthily.
SCG’s financial position and cash flow remain robust due to less investment burden as the LSP project is now 97% completed. Through constant communication with employees, suppliers, partners, and customers, we have excellent collaboration to get through this crisis.”