เอบีม คอนซัลติ้ง เผยผลสำรวจความชอบที่แตกต่างของผู้ซื้อ Gen Z จะเปลี่ยนแปลงอนาคตของการจำหน่ายรถยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อนาคตของการจำหน่ายรถยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องปรับตัวเพื่อให้บริการกลุ่มลูกค้า Younger

0
395

ประชากรที่จัดอยู่ในช่วง Gen Z กำลังขยายตัวกลายเป็นประชากรวัยผู้ใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างรวดเร็ว และคาดกันว่าจะมีจำนวนแตะ 165 ล้านคนหรือคิดเป็น 30% ของประชากรทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2573 ด้วยเหตุนี้จึงมีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ ผู้จำหน่าย และตัวแทนจำหน่ายที่ต้องทำความเข้าใจความชอบและรสนิยมที่มีความเฉพาะตัวของผู้ซื้อในช่วงวัยนี้ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อกลุ่มใหม่นี้ให้มากที่สุด

ในงานประชุมด้านนวัตกรรมยานยนต์แห่งภูมิภาคเอเชียหรือ “Future Mobility Asia 2023” (FMA 2023) ที่จัดขึ้นในกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 17-19 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมาที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่ผ่านมา เอบีม คอนซัลติ้ง ได้รับเกียรติเข้าร่วมการประชุมสัมมนาในฐานะพันธมิตรด้านความรู้อย่างเป็นทางการเป็นปีที่สองติดต่อกัน โดยมี โจนาธาน วาร์กัส รุยซ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมคมนาคม จากเอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) ขึ้นแสดงทัศนะในหัวข้อ “The Future of Car Buying: How the Preferences of Gen Z will Impact Car Retail in Southeast Asia”

“ในเดือนเมษายนปี พ.ศ. 2566 เอบีม คอนซัลติ้ง ได้ทำการสำรวจโดยมีผู้ตอบแบบสำรวจจำนวน 2,200 คนในประเทศอินโดนีเซียและไทย ซึ่งเป็นสองประเทศที่มีตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โจนาธาน วาร์กัส รุยซ์ กล่าวว่า “ผลการสำรวจพบว่าแม้กลุ่ม Gen Z จะมีความคล้ายคลึงกับผู้บริโภคในเจเนอเรชันอื่น แต่ก็ยังมีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดหลายประการ ดังนั้นจึงสามารถคาดการณ์ได้ว่าการจำหน่ายรถยนต์ในอนาคตจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ที่มีอายุน้อยลงนี้ แต่เรามองว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นวิวัฒนาการตามกาลเวลาและสถานการณ์มากกว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงปฎิรูป เพราะผู้ซื้อ Gen Z ยังมีความพึงพอใจกับประสบการณ์การซื้อรถยนต์ที่ผ่านมาของตัวเอง”

Generation Z หรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า Gen Z คือประชากรที่ในตอนนี้มีอายุระหว่าง 14 ถึง 26 ปี และเติบโตท่ามกลางยุคที่มีการใช้อินเตอร์เน็ต รวมทั้งโซเชียลมีเดียและสมาร์ทโฟนอย่างแพร่หลาย โดยกลุ่ม Gen Z กำลังเติบโตและไปแทนที่สัดส่วนของจำนวนประชากรผู้ใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างรวดเร็ว และคาดว่าจะมีจำนวนถึง 30% ของประชากรทั้งหมดในภูมิภาคภายในปีพ.ศ. 2573 และเป็นกลุ่มที่มีแนวความคิดและมีค่านิยมที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน ๆ อย่างมาก โดยเฉพาะถ้าเทียบกับคนในกลุ่ม Gen X (อายุระหว่าง 43 ปี ถึง 58 ปี ในตอนนี้) ที่มองว่าการครอบครองรถยนต์แสดงถึงสถานะทางสังคมมากถึง 45% ในขณะที่ กลุ่ม Gen Z ในประเทศไทยเพียง 31% เท่านั้นที่มีค่านิยมแบบนี้ และมองว่ารถยนต์เป็นปัจจัยที่มีไว้เพื่อมอบความสะดวกสบายให้กับตนเองและครอบครัวมากกว่าจะเอาไว้ใช้แสดงความร่ำรวย

มากไปกว่านั้นปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมก็มีความสำคัญอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อรถของกลุ่ม Gen Z จากผลสำรวจราคารถยนต์ยังเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเป็นอันดับหนึ่ง โดย 57% ของผู้ตอบแบบสำรวจมองว่าราคาเป็นปัจจัยที่สำคัญ ขณะที่ปัจจัยด้านความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญเป็นอันดับสองเทียบเท่ากับความสามารถของรถยนต์ด้านการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง โดยอยู่ที่ 24% ของจำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งแตกต่างจากผู้ซื้อในกลุ่มเจเนอเรชันอื่นที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมเป็นอันดับที่เก้า มากไปกว่านั้น 68% ของ Gen Z ที่ตอบแบบสอบถามยังแสดงความสนใจต่อยานยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นอย่างมากเพราะเหตุผลด้านราคาน้ำมัน และอีก 43% ยังคำนึงถึงความต้องการที่จะลดผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังพบว่า 30% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองเรื่องของเงินสนับสนุนจากภาครัฐก็มีส่วนในการตัดสินใจอย่างมากด้วย

ที่น่าประหลาดใจก็คือ แม้ Gen Z จะเป็นกลุ่มคนที่คุ้นเคยและเชี่ยวชาญการใช้งานช่องทางดิจิทัล ผู้ซื้อในกลุ่ม Gen Z จำนวนไม่น้อยที่มีมากถึง 78% ยังชอบการซื้อรถด้วยวิธีการออฟไลน์มากกว่า ดังนั้นในอนาคต ตัวแทนจำหน่ายจึงยังคงมีบทบาทสำคัญในการซื้อขายรถยนต์อยู่ แต่ก็ควรที่จะพัฒนาวิธีการขายให้ครอบคลุมมากขึ้น เช่นการเน้นประสบการณ์ขายแบบผสมผสานทุกช่องทางการตลาดที่รวมทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน (Omnichannel) การใช้วิธีการสื่อสารทางการตลาดที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคล และเพิ่มการมีส่วนร่วมกับลูกค้าให้มากขึ้น

โจนาธาน วาร์กัส รุยซ์ ยังให้ข้อเสนอแนะที่อ้างอิงจากการศึกษาครั้งนี้เพิ่มเติมว่า “การเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่เพิ่มมากขึ้นแสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อที่รวมถึงกลุ่ม Gen Z ยังให้ความสำคัญกับการมีส่วนเกี่ยวข้องของตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ แต่บทบาทของตัวแทนจำหน่ายต้องได้รับการปรับเปลี่ยนไป เนื่องจากผู้เล่นในตลาดธุรกิจให้บริการยานพาหนะร่วมกันอย่างบริการเรียกรถสาธารณะหรือบริษัทรถเช่า จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น

แนวโน้มความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ต้องปรับตัว และนำมุมมองรอบด้านของลูกค้าแบบ 360° และประสบการณ์แบบการผสานทุกช่องทางการตลาดที่รวมทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน (Omnichannel) มาใช้เพื่อสร้างกลยุทธ์ด้านการตลาด ผู้ค้าปลีกบุคคลที่สามจะยังคงมีบทบาทสำคัญอยู่ในกระบวนการขาย แม้ว่าการมีส่วนร่วมกับลูกค้าที่เพิ่มขึ้นของบริษัทผู้รับจ้างผลิตสินค้าหรือ OEMs อาจทำให้ตัวกลางในการขายมีความสำคัญน้อยลงก็ตาม

การสำรวจที่ครอบคลุมข้อมูลหลายด้านของ เอบีม คอนซัลติ้ง แสดงให้เห็นถึงพลวัตที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปของการเป็นเจ้าของรถยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีเหตุปัจจัยมาจากรสนิยมและความชอบของผู้ซื้อใน Gen Z เป็นหลัก ข้อมูลเชิงลึกที่ได้นี้จะช่วยให้ OEMs ผู้จำหน่าย และตัวแทนจำหน่าย สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงทีเพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มผู้ซื้อใหม่ที่มีอิทธิพลมากขึ้น และสร้างรากฐานสำหรับตลาดยานยนต์ที่จะเติบโตยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือผลการสำรวจโดยละเอียด สามารถติดต่อ เอบีม คอนซัลติ้ง ที่เว็บไซต์
https://www.abeam.com/th/en

เกี่ยวกับบริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด
บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทในเครือบริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง จำกัด โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีทีมงานกว่า 7,500 คน ที่ให้บริการลูกค้าทั่วภูมิภาคเอเชีย อเมริกา และยุโรป เปิดให้บริการที่ปรึกษาในประเทศไทยเมื่อปี 2548 บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญกว่า 450 คน ที่ให้บริการลูกค้าด้วยความเชี่ยวชาญด้าน Business และ Digital Transformation เพื่อช่วยให้บริษัทและองค์กรต่าง ๆ บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ในฐานะพันธมิตรที่สร้างสรรค์ เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ อุตสาหกรรมและสังคมให้ก้าวสู่การเปลี่ยน