นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เมื่อช่วงปลายปี 2562 จนถึงปัจจุบันได้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง ซึ่งถึงแม้ขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 ภายในประเทศไทยจะมีสัญญาณที่คลีคลาย แต่ตราบใดที่ยังไม่สามารถผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้สำเร็จและใช้กันอย่างแพร่หลาย ก็ยังสร้างความวิตกกังวลให้สังคมทุกภาคส่วน สะท้อนภาพได้จากการลงทุนของภาคเอกชนที่หดตัวอย่างแรง พร้อมกับคำถามตามมาว่า วิกฤติที่เกิดขึ้นนี้จะลากยาวแค่ไหน
นายชนนพล ชนุหะชา นักลงทุนในตลาดทุนและผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันสอนการลงทุนบริษัท ซุปเปอร์ เทรดเดอร์ รีพับบลิค จำกัด เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์ในปัจจุบันจะมีปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวกและส่งผลกระทบเชิงลบต่อการลงทุนทั้งภาคตลาดทุน ตลาดเงิน ทองคำรวมถึงตลาดน้ำมันโลกที่มีความผันผวนแรง แต่ตนมองว่าภายใต้ วิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ ซึ่งนักลงทุนเองก็ต้องมีความระมัดระวังก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง เบื้องต้นต้องดูมูลค่าที่แท้จริงแล้วเปรียบเทียบหรือวัดจากผลประกอบการระยะยาวเทียบกับราคาหุ้น
“ดอกเบี้ยต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ทำให้เราแทบไม่สามารถต่อยอดจากเงินก้อนที่มีอยู่นี้ได้เลย” นายชนนพล กล่าวพร้อมกับได้สะท้อนทัศนคติที่มีต่อการลงทุนด้วยว่า เมื่อออมเงินไว้ในธนาคารอย่างเดียวไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า การหาข้อมูลและเพิ่มช่องทางการลงทุนในตลาดหุ้นถือเป็นอีกโอกาสหนึ่ง และราคาหุ้นของหลายบริษัทก็ไม่ได้อยู่ในระดับสูงมากนักในปัจจุบันซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ (คำว่าดีในที่นี้คือ สามารถชนะเงินเฟ้อได้) และนี่คือ 6 เหตุผล ที่ทำไมเราควรหันมาเริ่มสนใจการลงทุน
1.ในระยะยาวผลตอบแทนของการลงทุนในหุ้น เอาชนะเงินเฟ้อได้ : เงินของเราเล็กลงทุนวัน จากอัตราเงินเฟ้อที่ประมาณ 3-5% ต่อปี กล่าวคือ เงิน 100 บาทของปีนี้จะมีค่าเพียง 95 – 97 บาทในปีหน้า ซึ่งดอกเบี้ยธนาคารในปัจจุบันนั้นได้เพียง 1-2% ต่อปี ต่อให้ฝากเงินในธนาคาร เงินก็ลดลงอยู่ดี การลงทุนจึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ที่ทำให้เงินของคุณไม่ลดลง
2.เป็นการฝึกวินัยในการออม : หาเก่งไม่สู้เก็บเก่ง การมีวินัยในการออมเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า คนๆนึงจะรวยหรือว่าจน ได้เลยทีเดียว ดังนั้นการลงทุนก็เหมือนกับการที่เราได้ออมเงินแต่มีผลตอบแทนที่ดีกว่าฝากธนาคาร
- มีความเป็นเจ้าของกิจการ : การที่เราซื้อหุ้นเท่ากับว่าเราได้เป็นผู้ถือหุ้น หรือ เจ้าของร่วมของกิจการนั้นๆ และมีสิทธิ์ในการออกเสียงในบริษัทตามสัดส่วนที่เราถือหุ้น
- ไม่เสียภาษี : ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศที่ไม่ต้องเสียภาษี capital gain ให้รัฐบาล โดยเสียแค่คอมมิชชั่นให้กับโบรคเกอร์เท่านั้น ถือได้ว่าได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา หรือในทวีปยุโรป
- หุ้นเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูง : เราสามารถนำเงินออมเข้าไปลงทุนได้เลยทันที และเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงินเราก็สามารถขายและนำเงินออกมาใช้ได้ทันทีในยามจำเป็น
- พลังของดอกเบี้ยทบต้น : พลังของดอกเบี้ยทบต้น หรือที่เรียกกันว่า compound interest ถูกยกย่องว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันนึงของโลก การเติบโตของการลงทุนเป็นเเบบนี้เหมือนกัน ไม่ต้องเเปลกใจเลยว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานพอ เงินของเราจะโตเป็นหลายเท่า เพื่อให้มองเห็นภาพชัดๆ จะบอกอย่างนี้ สมมุติว่าผลตอบเเทนต่อปี 12%(ซึ่งธรรมดามากในตลาดหุ้น) ในเวลา 20 ปี เงินของเราจะโตขึ้น 1 ตำแหน่ง เช่น ลงทุน 100,000 บาท 20 ปีจะเป็น 1,000,000 บาท และ ลงทุน 1,000,000 บาท 20ปี จะเป็น 10,000,000 บาท
“ผมเริ่มลงทุนตั้งแต่ตอนเรียนปริญญาตรีช่วงปีที่ 3 เริ่มลงทุนก็ประสบปัญหาขาดทุนทันทีเพราะไม่ได้ศึกษาหาความรู้ก่อนและใช้หูเล่นเป็นหลัก จนพอร์ตลดลงไปถึง60% กระทั่งได้เรียนรู้วิชาการเทรดทั้ง Fundamental และ Technical จาก พี่ซัน กระทรวง จารุศิระ ก่อนนำไปปรับปรุงให้เหมาะสมกับตนเองและใช้เวลา 2 ปีสร้างพอร์ตไป 10 ล้านบาท และมูลค่าพอร์ตสูงสุดที่ทำได้คือ 43 ล้านบาท ตั้งแต่เรียนจบวิศวะฯจุฬาเมื่อปี 2557 ถึงวันนี้ก็ 6 ปีที่เป็น Full Time Trader” นายชนนพล กล่าว พร้อมกับให้เหตุผลว่า เพราะอะไรถึงไม่ทำงานประจำ
“ผมได้ค้นพบว่าการทำงานประจำมันมี ขอบเขต เพดานของรายได้ ซึ่งไม่สามารถ ทำให้มันเพิ่มขึ้นได้ตามความสามารถของเรา ต่างกับการที่เราเป็นเจ้าของกิจการ หรือนายตัวเอง เพราะเราสามารถ โตได้เรื่อยๆ ตามความสามารถที่เราจะไปถึง เหมือนชีวิตของเราขึ้นอยู่กับตัวเอง แต่งานประจำนั้นขึ้นอยู่กับหัวหน้า หรือเจ้าของบริษัท จึงได้ตัดสินใจสร้างบริษัท ซุปเปอร์ เทรดเดอร์ รีพับบลิค ร่วมกันกับรุ่นพี่ที่ จุฬา”
พร้อมกันนี้ นายชนนพล กล่าวยอมรับว่าการเทรดหุ้นมีความเสี่ยงและอันตราย แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างกำไรให้เรามากเช่นกัน (High Risk Hing Return)ซึ่งถึงแม้ในปัจจุบันเกิดแรงกดดันของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด – 19 หากมีการลงทุนด้วยหลักการที่ถูกต้องก็สามารถสร้างกำไรได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้จากความรู้และประสบการณ์ในการเทรดหุ้นนั้น ต้องอาศัยการเก็บสถิติ การควบคุมอารมณ์ การคิดอย่างมีระบบ มีวินัยในตัวเอง การบริหารการเงินที่ดี ซึ่งตนได้แนะนำวิธีการปั้นพอร์ตให้เติบโตอย่างยั่งยืนไว้ในหนังสือ “ ONE2TEN : ปั้นพอร์ตจาก หนึ่งล้าน เป็นสิบล้าน” ซึ่งรายได้ทั้งหมดที่ผู้เขียนได้รับหลังหักค่าใช้จ่ายจากหนังสือเล่มนี้นำไปบริจาคให้แก่ “มูลนิธิส่งเสริมและพัฒนาคนพิการ” และสามารถติดตาม ผลงานได้ทาง fanpage facebook : one2ten ครับ