เน็กซัสเผยผลสำรวจตลาดอสังหาฯ ช่วงโควิด-19 พบผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจในการลงทุนอสังหาฯ แบบระยะยาวมากยิ่งขึ้น เนื่องจากราคาคอนโดฯ ที่ปรับลดลงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงสถานการณ์ปกติ ซึ่งการปรับลดราคาลง คือ แรงหนุนหลักที่มากระตุ้นการตัดสินใจซื้อของกลุ่มนักลงทุน โดยพบว่ากลุ่มนักลงทุนจะเลือกซื้อโครงการที่สามารถปล่อยเช่าได้ทันที ด้วยผลตอบแทนที่ดี ทำให้คอนโดฯ ในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นที่หมายตาของกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะคอนโดฯ ลีสโฮลด์ (Leasehold) เนื่องจากมีราคาต่ำกว่าคอนโดฯ ฟรี โฮลด์ (Freehold)
นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พร็อพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยถึงผลการสำรวจข้อมูลผู้บริโภคที่สนใจซื้อคอนโดมิเนียมในช่วงโควิด-19 พบว่า ทั้งหมดเป็นกลุ่ม Real Demand โดยเป็นกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่จริงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ และซื้อเพื่อการลงทุนระยะยาวอีก 20 เปอร์เซ็นต์ โดยกลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุนระยะยาวนั้น เพราะต้องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน อีกทั้งหวังผลตอบแทนจากการลงทุนในแบบพาสซีฟอินคัม (Passive Income)
สำหรับการเลือกซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อลงทุนระยะยาวนั้น ผู้ลงทุนต้องศึกษาเกี่ยวกับตัวโครงการ, ความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการ, สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และอีกองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญ คือ ต้นทุนห้องชุดที่ได้มา โดยห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมในแบบลีสโฮลด์ (Leasehold) ส่วนใหญ่จะมีราคาถูกกว่าห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมในแบบฟรี โฮลด์ (Freehold) เรามักจะพบเป็นประจำว่า นักลงทุนที่เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ จะหันมาสนใจลงทุนคอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์ (Leasehold) เพราะส่วนใหญ่คอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์ (Leasehold) ราคาถูกกว่าคอนโดมิเนียมแบบฟรีโฮลด์ (Freehold) ประมาณ 30-40% ทำให้ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าที่ดีกว่า
จากผลการสำรวจของเน็กซัส พบว่า คอนโดมิเนียมประเภทลีสโฮลด์ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขต CBD อาทิ ราชดำริ สามย่าน หลังสวน สีลม สาทร พระราม 4 และเมื่อเจาะลึกลงไปในทำเลย่านนี้ พบว่ามีคอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์อยู่ถึง 25 โครงการ ปิดการขายไปแล้ว 21 โครงการ และยังคงเหลือขายอยู่เพียง 4 โครงการเท่านั้น ซึ่งผู้ที่ซื้อโครงการในย่านนี้ จะมีทั้งผู้ที่ซื้อเพื่ออยู่เองและเพื่อการลงทุน สำหรับผู้ที่ซื้อเพื่อการลงทุน พบว่า การลงทุนย่านนี้ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยจากการปล่อยเช่าห้องชุดในโครงการลีสโฮลด์ในย่านนี้เฉลี่ย (Yield) สูงถึง 6.2% ต่อปี ในขณะที่โครงการแบบฟรีโฮล์ในโซนเดียวกัน สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย (Yield) อยู่ที่ 4.5% ต่อปี
สำหรับโครงการลีสโฮลด์ในโซนสามย่าน ปัจจุบันโครงการที่เปิดขายจะมีเพียงโครงการเดียว คือ โครงการทริปเปิ้ล วาย เรสซิเดนซ์ (Triple Y Residence) ปัจจุบันมีผลตอบแทน (Yield) สูงสุดอยู่ที่ 8.6% ต่อปี และคาดว่าผลตอบแทนจะเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบนทำเลนี้ในช่วงระยะเวลา 3 ปีจากนี้ไป จะยังไม่มีซัพพลายใหม่ใดๆ เข้ามาเติม
นางนลินรัตน์ ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง Capital Gain อีกกว่า “การลงทุนในคอนโดฯ ไม่ว่าจะเป็นแบบลีสโฮลด์ หรือฟรี โฮลด์ นอกจากเรื่องผลตอบแทนเฉลี่ยจากการปล่อยเช่า (Yeild) แล้ว ยังได้กำไรจากการขายต่อ (Capital Gain) อีกด้วย เช่น โครงการประเภทลีสโฮลด์โซนสามย่านที่เปิดขายในปี 2555 ด้วยราคาขาย 52,000 บาท/ตร.ม. และปัจจุบันราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 82,000 บาท/ตร.ม. ด้วยระยะเวลาเพียง 8 ปี ราคาต่อตารางเมตรเติบโตขึ้นถึง 57% หรือโครงการฟรีโฮลด์ (Freehold) ย่านเดียวกัน ที่เปิดขายในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ปัจจุบันราคาขายต่อตารางเมตรก็เพิ่มขึ้นถึง 20% แล้ว ดังนั้น จะเห็นได้ว่าราคาคอนโดฯ แต่ละทำเลเมื่อระยะเวลาผ่านไป จะมีราคาต่อตารางเมตรก็จะเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน”
“สรุปข้อดีของการซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภท ลีสโฮลด์ (Leasehold) คือ 1) ราคา ที่ขายให้กับผู้เช่าซื้อนั้นจะถูกกว่าคอนโดมิเนียมแบบฟรีโฮลด์ (Freehold) หมายความว่า บนพื้นที่ใกล้เคียงกัน เช่น หากโครงการที่เราต้องการซื้อเป็นโครงการประเภท ลีสโฮลด์ (Leasehold) ซึ่งขายในราคา 3,600,000 บาท อีก 1 โครงการที่เป็นฟรีโฮลด์ (Freehold) ข้างๆ จะขายในราคาถึง 6,000,000 บาท เพราะว่าราคาต้นทุนที่ดินที่ต่างกัน โดยเราสามารถนำเงินส่วนต่างอีก 2,400,000 บาท ไปลงทุนประเภทอื่นได้ 2) ทำเลที่ตั้งโครงการ สำหรับโครงการที่เป็น ลีสโฮลด์ (Leasehold) จะเป็นโครงการที่อยู่ใน CBD ซึ่งปัจจุบันที่ดินกลางเมืองมีน้อยลงไปทุกวัน ทำให้มั่นใจได้ว่าหากคุณเลือกลงทุนในโครงการลีสโฮลด์ (Leasehold) จะเป็นโครงการที่อยู่ใน Prime location อย่างแท้จริง 3) ฟังก์ชั่นห้องตอบโจทย์ลูกค้า เนื่องจากต้นทุนไม่สูงทำให้ออกแบบห้องได้กว้างขวาง และมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นตามไปด้วย ข้อดี คือ หากต้องการปล่อยเช่าก็จะสามารถเรียกราคาค่าเช่าได้สูงกว่าห้องขนาดเล็ก หรือมีโอกาสในการปล่อยเช่าได้มากกว่า หรือ หากอยู่เองก็จะสะดวกสบายเป็นสัดส่วนมากกว่า 4)ผู้ประกอบการ ที่จะได้พัฒนาโครงการบนพื้นที่ลีสโฮลด์ (Leasehold) นั้นต้องเป็นผู้ประกอบการที่แข็งแกร่ง มีชื่อเสียงมานาน และมีความน่าเชื่อถือ 5)การดูแลหลังการขายโดยผู้ประกอบการเองซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญเพราะโครงการจะยังคงสวยงาม และได้รับการดูแลอย่างดีตลอดอายุสัญญา 6) ต่างชาติสามารถถือครองได้ 100% เนื่องจากเป็นสิทธิ์การเช่าซื้อ ดังนั้น เมื่อมีการขายต่อไม่ต้องกังวลว่าสิทธิของต่างชาติจะเต็ม” นางนลินรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย