KBank Private Banking (เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง) เผยมุมมองเชิงบวกและโอกาสการลงทุนครั้งสำคัญหลังจากการประกาศแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ฉบับใหม่ของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ผ่านกองทุนเปิดเค โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ (K-GINFRA) กองทุนเปิดเค โกลบอล ไฮ อิมแพ็ค ธีมาติก (K-HIT) และ กองทุนเปิดเค ไคลเมท ทรานซิชั่น (K-CLIMATE)
หนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจสำคัญภายหลังวิกฤตโควิด-19 เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ คือแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่ล่าสุดมีการบรรลุข้อตกลงการลงทุนใหม่มูลค่า 5.79 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 19 ล้านล้านบาท) ครอบคลุมถึงการปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น สะพาน ถนน ระบบขนส่งสาธารณะ สนามบิน การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า การพัฒนาระบบการจัดการน้ำ รวมไปถึงการขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โดยวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงสำหรับการอนุมัติงบประมาณแผนการลงทุนระยะเวลา 8 ปี เป็นวงเงินรวมถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 39 ล้านล้านบาท)
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า แผนการดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้หลายธุรกิจกลายเป็นผู้ชนะ อันเนื่องมาจากการอัดเม็ดเงินลงทุนมหาศาล เข้าสู่ระบบเพื่อนำไปปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญๆ ซึ่งไม่ได้ส่งผลให้มีความต้องการใช้ปูนซีเมนต์และเหล็กกล้าเพิ่มขึ้นเท่านั้น หากแต่รวมไปถึงความต้องการบริการอื่นๆ ในห่วงโซ่การผลิตทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็น บริษัทผู้ผลิต จำหน่าย ให้คำปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีด้านการก่อสร้าง บริษัทขนส่งพลังงาน รวมถึง ผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร โดยมองว่ากองทุน K-GINFRA ผ่านกองทุนหลัก Morgan Stanley Investment Funds Global Infrastructure, Class Z (USD) ที่เน้นการลงทุนในสหรัฐฯกว่า 40% จะได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากแผนครั้งนี้
ตัวอย่างของบริษัทในกองทุน K-GINFRA มีดังนี้
- บริษัท Crown Castle International ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารร่วมกันในสหรัฐฯ โดยเครือข่ายประกอบด้วยเสาสัญญาณมากกว่า 40,000 เสา และเส้นใยยาวเกือบ 80,000 ไมล์
- บริษัท American Tower Corp บริษัทผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม โดยเป็นเจ้าของและเป็นผู้ดำเนินงานเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการสื่อสารแบบไร้สาย รวมถึงทรัพยากรที่ใช้สำหรับการสื่อสารกว่า 22,000 แห่ง
- บริษัท Vinci ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยโครงการสำคัญมักเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ทางพิเศษ อุโมงค์ ท่าอากาศยาน สะพาน และท่อขนส่งพลังงาน
- บริษัท National Grid บริษัทสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าและก๊าซ ซึ่งดำเนินการผลิตไฟฟ้าและเครือข่ายการส่งก๊าซธรรมชาติในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ
- บริษัท Enbridge บริษัทขนส่งพลังงาน เน้นการขนส่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ โดยระบบท่อส่งน้ำมันนั้นยาวกว่า 5,000 กิโลเมตรในแคนาดาและสหรัฐฯ
พร้อมแนะนำกลยุทธ์การลงทุนเกาะกระแสเมกะเทรนด์ ผ่านกองทุน K-HIT โดยล่าสุดมีสัดส่วนการลงทุนในบริษัทในกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลประโยชน์จากการอัดเม็ดเงินเข้าไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ ถึง 15% และมีความยืดหยุ่นในการปรับสัดส่วนหากมองเห็นโอกาสการลงทุนในอนาคต
กองทุน K-HIT เป็นอีกหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนที่ตอบโจทย์นักลงทุน เนื่องจากมีศักยภาพในการปรับตัวและได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของโลกในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าไปลงทุนในธีมที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจใหม่ รวมไปถึงธุรกิจในห่วงโซ่การผลิตทั้งหลาย ซึ่งจะปรับตัวกลับมาโดดเด่นภายใต้แผนการลงทุนฉบับใหม่ของไบเดน เช่น แผนที่จะเพิ่มเครือข่ายสถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 500,000 จุดทั่วสหรัฐฯ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการลงทุนเกี่ยวกับโครงการสาธารณูปโภคสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าครั้งใหญ่ที่สุด ช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้ให้ดีขึ้น รวมไปถึงบริษัทผู้จัดหาวัตถุดิบที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีดังกล่าว ก็จะได้รับผลประโยชน์เช่นเดียวกัน อาทิ บริษัทผู้ติดตั้งซอตท์แวร์ให้กับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า บริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
ตัวอย่างของบริษัทในธีมการลงทุนที่สอดคล้องไปกับแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของกองทุน K-HIT ได้แก่
- บริษัท AngloAmerica บริษัทเหมืองชั้นนำผู้ผลิตแพลตตินั่มรายใหญ่ที่สุดของโลก ที่ล่าสุดหันมา ลงทุนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาสถานีเติมไฮเดรเจนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง (FCEVs) เพื่อกระตุ้นการผลิตเซลล์เชื้อเพลิงแพลตตินัมซึ่งเป็นส่วนประกอบชิ้นสำคัญในรถยนต์ไฟฟ้า
- บริษัท Teck ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการขุด ถลุง และการกลั่นแร่ ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากแผนการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวและโครงสร้างพื้นฐานของไบเดน จากความต้องการใช้ทองแดงที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในรถยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ และกังหันลม
- บริษัท Martin Marietta บริษัทผลิตคอนกรีตผสมเสร็จสำหรับการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ ถนนและสะพาน ซึ่งคาดว่าจะเติบโตจากการที่มีความต้องการใช้วัตถุดิบในงานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น
- บริษัท Skanska หนึ่งในบริษัทก่อสร้างและพัฒนาโครงการชั้นนำระดับโลก ที่จะเติบโตอีกครั้งหลังจากที่โควิด-19 ฉุดตลาดการก่อสร้างให้หดตัว โดยส่วนใหญ่เป็นตลาดการก่อสร้างอาคารพาณิชย์และที่อยู่อาศัย
- บริษัท Hydro ดำเนินธุรกิจผลิตอลูมิเนียม ที่หันมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ด้วยการเริ่มพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนและการสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่น้ำหนักเบาในรถยนต์แบบ Hybrid ซึ่งกำลังเติบโตอย่างดีทั่วโลกและในยุโรป
นอกจาก K-GINFRA และ K-HIT แล้ว ยังมีอีกหนึ่งกองทุนที่ได้รับประโยชน์ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ กองทุน K-CLIMATE ที่เน้นการลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่ธุรกิจมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Climate Change) และะการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานตามแผนงานของปธน. โจ ไบเดน ที่จะต้องใช้วัสดุต่างๆ ในการก่อสร้าง และต้องเป็นวัสดุที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ รวมถึงบริษัทที่ผลิตวัสดุเหล่านี้ก็ต้องเน้นการผลิตเพื่อปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้น้อยที่สุดด้วย ในขณะเดียวกันก็ต้องได้วัสดุที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งกองทุนเองก็มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มอุตาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง และสาธารณูปโภค
ตัวอย่างของบริษัทในกองทุนเปิดเค ไคลเมท ทรานซิชั่น (K-CLIMATE) มีดังนี้
-
- บริษัท Holcim ผู้นำระดับโลกด้านวัสดุก่อสร้างและโซลูชั่น ประกอบด้วย 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ซีเมนต์ คอนกรีตผสมเสร็จ โซลูชั่นและผลิตภัณฑ์ และยังรับสร้างบ้านรายบุคคลรวมไปถึงพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่างๆ ให้แข็งแรงและเน้นเรื่องความยั่งยืน
- บริษัท Carrier Global Corporation ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในด้านการออกแบบ ผลิตระบบทำความร้อน ระบบระบายอากาศ เครื่องปรับอากาศ และเครื่องทำความเย็นที่ทั่วโลกวางใจ ด้วยยอดขายอันดับ 1 ทั่วโลก
- บริษัท Autodesk ผู้นำด้านซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับการออกแบบ 3 มิติ เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานและเอกสารประกอบการโยธา
- บริษัท Cummins Inc. ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีพลังงาน มีความเชี่ยวชาญด้านเชื้อเพลิงและพลังงานทางเลือก เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ตลอดจนส่วนประกอบและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ด้วยรายได้กว่า 19.8 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐในปี 2020
โดยกองทุน K –GINFRA K-HIT และ K-CLIMATE มีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ที่ +11.4%, +11.7% และ +10.6% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2564)
Bipartisan Infrastructure Framework
รายละเอียดโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ
โครงการ | งบประมาณ (พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) |
การสร้างถนน สะพาน และโครงการอื่นๆ | 109 |
โครงการขนส่งมวลชน | 49 |
โครงการสร้างทางรถไฟสำหรับการโดยสารและการขนส่ง | 66 |
โครงการสาธารณูปโภคสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า | 7.5 |
รถโดยสารไฟฟ้าและการขนส่งด้วยระบบไฟฟ้า | 7.5 |
สนามบิน | 25 |
โครงการน้ำประปา | 55 |
โครงข่ายบรอดแบนด์อินเตอร์เน็ต | 65 |
โครงการเยียวยาสิ่งแวดล้อม | 21 |
โครงการด้านพลังงาน | 73 |
อื่นๆ | 101 |
รวมทั้งสิ้น | 579 |
ที่มา: White House Fact Sheet (24 มิถุนายน 2564)
เกี่ยวกับ KBank Private Banking
KBank Private Banking ให้บริการการบริหารความมั่งคั่งอย่างครบวงจร ด้วยมาตรฐานระดับสากล แก่ลูกค้าธนาคารกสิกรไทย ที่มีเงินฝากและเงินลงทุนกับธนาคาร ตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป โดยให้บริการในทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรักษา สร้างความเติบโต และส่งต่อความมั่งคั่ง ครอบคลุมทุกประเภททรัพย์สิน ทั้งทรัพย์สินทางการเงิน ธุรกิจครอบครัว อสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินอื่นๆ ด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลก Lombard Odier ทำให้ KBank Private Banking สามารถตอบสนองทุกโอกาสการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อส่งมอบความมั่งคั่งที่สมบูรณ์แบบและชีวิตที่ไร้กังวล แก่ลูกค้าคนสำคัญของธนาคาร
KBank Private Banking highlights K-GINFRA, K-HIT and K-CLIMATE as investment opportunities to capture growth from infrastructure development in response to the US’s economic recovery plan
KBank Private Banking sees a positive trend from significant investment opportunities, after the announcement of the US President Joe Biden’s Infrastructure Plan, through K-GINFRA (K Global Infrastructure Equity Fund), K-HIT (K Global High Impact Thematic Equity Fund) and K-CLIMATE (K Climate Transition Fund).
One of the major drivers of the US post-pandemic economic recovery is President Joe Biden’s Infrastructure Plan. The agreed new spending package of USD 579 billion (approximately THB 19 trillion) covers a broad-based of infrastructure development, from bridges, roads, transportaion systems, airports, electric vehicles, water management and broadband internet network. The US Senate also passed the bill for the investment budget valued at USD 1.2 trillion (approximately THB 39 trillion) over eight years.
Mr. Jirawat Supornpaibul, Private Banking Group Head, KASIKORNBANK said, “As a result of the investment plan, certain businesses will emerge as winners. The significant investment capital for various major infrastructure projects will not only drive demands for cement and steels but also other types of services in the supply chain, from construction technology production, distribution and development companies, energy transmission businesses and communications solution providers. K-GINFRA, which invests in Morgan Stanley Investment Funds Global Infrastructure, Class Z (USD) and has over 40% investment in the US, will gain great benefits from this investment plan.
Top companies in K-GINFRA (K Global Infrastructure Equity Fund) include:
- Crown Castle International, a US-based provider of communications infrastructure with the network of 40,000 cell towers and 80,000-mile fiber optics.
- American Tower Corp, a telecommunications service provider, and owner and operator of wireless communications infrastructure and more than 20,000 communication resource centers
- Vinci, a construction engineering company with specialization in large infrastructure projects e.g. highways, tunnels, airports, bridges and energy pipelines
- National Grid, an electricity and gas facility business, providing services on power generation and natural gas transmission system in the North East.
- Enbridge, an energy transmission company, focusing on crude oil and natural gas transmission with over 5,000-kilometer oil pipelines in Canada and the US.
KBank Private Banking also recommends investment strategies in the mega trends through K-HIT (K Global High Impact Thematic Equity Fund). Currently, the theme of businesses expected to benefit from the US infrastructure investment has been positioned in the portfolio with approximately 15%. The fund also has flexibility in adjusting the investment position if more opportunities arise in the future.
Another investment strategy for today’s investor, K-HIT comes with the adaptability and is well-positioned to benefit from the global long-term trends due to its investment in the new economy theme and related businesses in the supply chain, which are likely to experience growth after Biden’s Plan. The largest investment in facilities for electric vehicles (EV), the plan aims to build a national network of 500,000 charging stations and will propel EV technology development. Also positioned to gain advantages is companies with expertise in sourcing materials or equipment for EV facilities e.g. software installation companies and EV part manufacturing businesses.
Examples of companies in the infrastructure investment theme in K-HIT include:
-
- AngloAmerica, a leading global mining company and the world’s largest platinum producer, which has recently invested in the development of hydrogen filling stations for fuel cell electric vehicles (FCEVs) to stimulate the production of platinum fuel cell, important auto parts for EVs.
- Teck, a leading diversified resource company with activities in mining, smelting, and refining, which is positioned to benefit from Biden’s green technology and infrastructure investment plan, and demand for copper, an important material for EVs, solar cells and wind turbines.
- Martin Marietta, a leading US supplier of building materials for commercial buildings, roads and bridges, projected to grow from increasing demand in raw materials for the construction.
- Skanska, one of the world’s leading construction and project development companies which will continue to rise after COVID-19 caused a downturn in the construction market, particularly commercial and residential building construction sectors.
- Hydro, one of the largest suppliers of aluminum which has shifted its focus to sustainability by initiating renewable energy projects and supporting the manufacturing of lightweight batteries for hybrid vehicles, which are expanding rapidly around the world, particularly in Europe.
In addition to K-GINFRA and K-HIT, another fund that will benefit from the infrastructure plan is K-CLIMATE, which aims to invest in various funds worldwide and has a common goal of mitigating environmental issues and the impacts of climate change. Biden’s Infrastructure Plan also requires enormous amounts of construction materials, which must be low-carbon materials produced by companies that commit to minimizing carbon emissions embodied in their manufacturing processes and can obtain high-quality construction materials. The fund itself has a proportion of investment in relevant industries, such as building material manufacturers and utility sectors.
Examples of companies in K-CLIMATE Transition Fund include:
- Holcim, a global leader in building materials and solutions with four business categories: cement, ready mix concrete, solutions, and products. The company has provided services focusing on building individual homes and developing various important infrastructure projects that are resilient and sustainable.
- Carrier Global Corporation, a global leader in the design of heating systems, ventilation systems, air conditioners, and refrigeration solutions, gaining consumer’s trust with its number one position in global sales.
- Autodesk, a leading software company in 3D design for infrastructure and civil engineering
- Cummins Inc., a global leader in energy technology, specializes in fuels and alternative energy, power generator, and related components and technologies, which generated over USD 19.8 billion in revenue in 2020.
Since the beginning of 2021, K –GINFRA, K-HIT and K-CLIMATE has yielded returns +11.4%, +11.7%, and +10.6% consecutively (as of 7 July 2021).
Bipartisan Infrastructure Framework
Key parts of infrastructure deal between White House, group of senators
Items | Amount (Billion USD) |
Roads, Bridges, major projects | 109 |
Public transit | 49 |
Passenger and Freight Rail | 66 |
EV Infrastructure | 7.5 |
Electronic buses/transit | 7.5 |
Airports | 25 |
Water infrastructure | 55 |
Broadband infrastructure | 65 |
Environmental remediation | 21 |
Power infrastructure incl. grid authority | 73 |
Other | 101 |
Total | 579 |
Source: White House Fact Sheet (released on 24 June 2021)
ABOUT KBANK PRIVATE BANKING
KBank Private Banking provides international comprehensive wealth management service to Kasikornbank customers with AUM of 50 million baht or more. Our service covers all aspects of preserving, growing, and passing on wealth, and all asset types from financial assets, family businesses, real estate, and others. Propelled by its strategic alliance with the global private bank Lombard Odier, KBank Private Banking is well-suited to respond to the investment needs both locally and internationally and give our valued customers the perfect wealth and the worry-free lives.
For more information, please contact your private banker or KBank Private Banking contact center at 02-888-8811.