“อมตะ” เตรียมรับคลื่นลงทุนใหม่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ความต้องการนักลงทุนกลุ่มไฮเทคครบวงจรสร้างมูลค่าเพิ่มในพื้นที่EEC

0
62

อมตะ เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับอุตสาหกรรมไฮเทคแห่งอนาคต ขานรับการย้ายฐานการผลิตจากนักลงทุนต่างชาติ ทั้งจีนและญี่ปุ่นหวังใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-Curve) ก้าวสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City)พัฒนาพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีล้ำสมัย สนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจ ควบคู่ไปกับการดูแลคุณภาพชีวิตของชุมชนในพื้นที่ รองรับความเปลี่ยนแปลงในตลาดการลงทุนระหว่างประเทศ

นายโอซามู ซูโด รักษาการประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักลงทุนจากหลายประเทศเข้ามาให้ความสนใจลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมของอมตะ โดยเฉพาะนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น ซึ่งต่างมองว่าประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่มีความสำคัญระดับภูมิภาค ภายใต้การคาดการณ์ในปี 2567 ซึ่งเห็นได้จากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยมียอดโอนที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันที่มียอดรอการรับรู้รายได้จากการโอน (Backlog) อยู่ที่ 16,939 ล้านบาท คาดว่าในปีนี้จะสามารถทยอยรับรู้รายได้ประมาณ 50% และอีก 50% ในปี 2568

ปัจจุบัน นิคมอุตสาหกรรมของอมตะ. อยู่ในจ.ชลบุรี และระยอง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ ชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรม อมตะ ซิตี้ ระยอง และนิคมไทย-จีน จ.ระยอง โดยนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นอกจากผู้ประกอบการจะได้รับประโยชน์จากแรงจูงใจที่สำคัญจากหน่วยงานภาครัฐ อาทิ การส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน( BOI )และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IEAT) แล้ว พื้นที่ EEC ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ครบถ้วน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาค

ส่วนนิคมอุตสาหกรรมในต่างประเทศ ทางอมตะได้เข้าไปลงทุนใน 2 ประเทศหลัก คือ เวียดนาม และ สปป.ลาว โดยในเวียดนาม ประกอบไปด้วย นิคมอุตสาหกรรม 3 แห่ง และโครงการนิคมฯร่วมทุนกับพันธมิตรนานาชาติอีก 1 แห่ง ได้แก่ 1.นิคมฯอมตะซิตี้ เบียนหัว 2.นิคมฯอมตะซิตี้ ลองถั่น 3.นิคมฯอมตะซิตี้ ฮาลอง และ 4.นิคมฯ กว่างจิ (Joint Venture) คิดเป็นมูลค่าลงทุนทั้งสิ้นกว่า 860 ล้านเหรียญสหรัฐ บนพื้นที่ดินที่ได้รับใบอนุญาต 3,000 เฮกตาร์ (18,750 ไร่) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 2 แห่ง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมอมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ นาเตย แขวงหลวงน้ำทา และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ นาหม้อ แขวงอุดมไซ

ทั้งนี้ ในนิคมอุตสาหกรรมของอมตะ ได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาให้กลายเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่มีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อรองรับการขยายตัวของผู้ประกอบการจากทั่วโลก โดยอมตะได้วางแนวทางพัฒนาอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เช่น ระบบพลังงานสะอาด การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้อมตะเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาทำเลที่ดีและเชื่อมโยงการผลิตสู่การส่งออกในภูมิภาคอาเซียน

“จุดเด่นของทำเลที่ตั้ง อมตะได้รับความสนใจจากธุรกิจหลายภาคส่วนที่ต้องการย้ายฐานการผลิต ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เทคโนโลยี หรืออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต่างก็ต้องการเข้ามาลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของอมตะ เพื่อใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยและการสนับสนุนจากภาครัฐที่แข็งแกร่ง มุ่งเน้นการเป็นเมืองอุตสาหกรรมครบวงจร ” นายโอซามู กล่าวเพิ่มเติม

โดยอมตะได้กำหนดเป้าหมายให้ทุกพื้นที่พัฒนา เป็นมากกว่าแค่สถานที่ประกอบธุรกิจ โดยเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มและให้บริการครบวงจร ตั้งแต่การจัดหาแหล่งพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไปจนถึงการผสมผสานสิ่งอำนวยความสะดวกด้านอุตสาหกรรมเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานเชิงพาณิชย์ ส่งผลให้ผู้เช่าและนักลงทุนสามารถดำเนินธุรกิจสามารถพัฒนาและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ อมตะยังให้ความสำคัญกับการดูแลคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบผ่านโครงการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ครอบคลุมทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม

สำหรับทิศทางในปี 2568 ของอมตะ ยังมองว่ากระแส “China Plus One” จะยังดำเนินต่อไป ซึ่งเป็นกระแสที่เด่นชัดมาตั้งแต่ช่วงหลังความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงการระบาดของโควิด-19 ทำให้การย้ายฐานการผลิตนอกประเทศจีนไปมาสู่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยอมตะ จะยังคงเดินหน้าในการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการให้บริการ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลก