วันนี้ (2 ต.ค. 66) เวลา 13.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงานวันที่อยู่อาศัยโลกประจำปี 2566 ประเทศไทย (World Habitat Day 2023 – Thailand) ภายใต้แนวคิด “เศรษฐกิจชุมชนที่ยืดหยุ่น: เมืองที่ขับเคลื่อนความเจริญเติบโตและการฟื้นฟู” (Resilient Urban Economies : Cities as drivers of growth and recovery) พร้อมปาฐกถาพิเศษ “การพัฒนาที่อยู่อาศัยและเมืองท่ามกลางแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ (Megatrend) และความท้าทายของประเทศไทย” โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวรายงาน และการนำเสนอสาส์นจากผู้แทน UN – Habitat โดย Executive Director (Mrs. Maimunah Mohd Sharif) จากนั้น เป็นประธานพิธีมอบประกาศนียบัตรเพื่อเชิดชูเกียรติเนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลกประจำปี 2566
สำหรับผู้ที่สนับสนุนด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยของประเทศไทย จำนวน 35 ราย ทั้งนี้ คณะผู้บริหารกระทรวง พม. Mr.Srinivasa Popuri UN Habitat ประจำประเทศไทย และผู้แทนภาคีเครือข่ายด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นอกจากนี้ มีการจัดเวทีเสวนาวิชาการ “ทุกภาคส่วนร่วมสร้างระบบการเงินที่ยืดหยุ่นและเศรษฐกิจที่พร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงสำหรับทุกคน” โดยมี นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ และนายกฤษดา สมประสงค์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เข้าร่วม
นายวราวุธ กล่าวว่า องค์การที่อยู่อาศัยแห่งสหประชาชาติ (UN – HABITAT) กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็น ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ หรือ ‘World Habitat Day’ เริ่มตั้งแต่ปี 2528 เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ ในโลกตระหนักถึงสิทธิพื้นฐานของการมีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมของประชากรทุกคนบนโลก สำหรับปีนี้ วันที่อยู่อาศัยโลกตรงกับวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2566 ทั้งนี้ ประเทศไทย โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (พม.) กำหนดจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลก ประจำปี 2566 ประเทศไทย ภายใต้หัวข้อหลัก “เศรษฐกิจชุมชนที่ยืดหยุ่น: เมืองที่ขับเคลื่อนความเจริญเติบโตและการฟื้นฟู ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) ภายใต้วิสัยทัศน์ “คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579 (Smart Housing)” ภายใต้เป้าหมาย 1,300,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ โดยมีการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน
นายทวีพงษ์ กล่าวว่า กระทรวง พม. โดยการเคหะแห่งชาติ หรือ กคช. หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ มีภารกิจสำคัญด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย รวมถึงกลุ่มครัวเรือนเปราะบางให้มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานในราคาที่เหมาะสมและสามารถรับภาระได้นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 จนถึงปัจจุบัน ได้พัฒนาที่อยู่อาศัยไปแล้ว จำนวน 751,061 หน่วย ควบคู่กับการส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่สำคัญ ได้แก่ 1) โครงการฟื้นฟูและพัฒนาเมือง มุ่งสู่ Smart Community 2) โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า 3) โครงการเคหะสุขประชา บ้านเช่าพร้อมอาชีพ ในเวลาเดียวกัน 4) โครงการบ้านเบอร์ 5 ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ 5) โครงการชุมชนอัจฉริยะและน่าอยู่อย่างยั่งยืน เพื่อการพัฒนาชุมชน 4 มิติ และ 6) โครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง เป็นต้น รวมถึงโครงการฝึกฝนและเพิ่มพูนทักษะอาชีพ เพื่อสร้างรายได้เสริมให้ชุมชน และประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย เพื่อลดรายจ่าย สร้างรายได้ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของการเคหะแห่งชาติ “สร้างบ้าน สร้างสุข เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี”
นายกฤษดา กล่าวว่า กระทรวง พม. โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. มีภารกิจสำคัญด้านการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย ตั้งแต่ปี 2546 ได้จัดทำโครงการ ‘บ้านมั่นคง’ ขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาชุมชนที่อยู่ในที่ดินบุกรุกหรือที่ดินเช่าที่ไม่มีความมั่นคง โดยทำงานร่วมกับชาวบ้าน ตั้งแต่รวมกลุ่ม สร้างความเข้าใจ จนกระทั่งสร้างบ้านเสร็จแล้ว จากนั้น จึงมีแผนพัฒนาชุมชนในทุกมิติทั้งอาชีพ แหล่งอาหาร สิ่งแวดล้อม สันทนา สวัสดิการชุมชน โดยใช้หลักการสำคัญ “ชุมชนที่เดือดร้อนเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหา พอช. และภาคีที่เกี่ยวข้องเป็นฝ่ายสนับสนุน” ปัจจุบัน ได้สนับสนุนการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนผู้ยากไร้มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัยทั้งในชนบทและเมืองไปแล้วกว่า 200,000 ครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นโครงการบ้านมั่นคง 131,437 หลังคาเรือน โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าว 3,553 ครัวเรือน คลองเปรมประชากร 1,364 ครัวเรือน และโครงการบ้านพอเพียงชนบท 352,000 ครัวเรือน เป็นต้น อีกทั้ง ครม. ได้เห็นชอบอนุมัติแผน 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยชุมชนผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางรถไฟทั่วประเทศ ใน 35 จังหวัด 300 ชุมชน 27,084 ครัวเรือน
นายอนุกูล กล่าวว่า นอกจากนี้ กระทรวง พม. โดย 1) กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้ขับเคลื่อนโครงการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับคนพิการ ซึ่งแผนแม่บทพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) มีเป้าหมายปรับปรุงที่อยู่อาศัยสำหรับคนพิการ จำนวน 132,700 หลัง โดยดำเนินการเรียบร้อยแล้ว (พ.ศ. 2560 – 2566) จำนวน 21,231 หลัง 2) กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ได้ขับเคลื่อนโครงการปรับสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกของผู้สูงอายุให้เหมาะสมและปลอดภัย ซึ่งแผนแม่บทพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) มีเป้าหมายปรับปรุงที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ จำนวน 447,618 หลัง โดยดำเนินการเรียบร้อยแล้ว (พ.ศ. 2560 – 2566) จำนวน 34,528 หลัง 3) กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้ขับเคลื่อนโครงการบ้านที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ด้วยการซ่อมแซมบ้านให้กับครอบครัวเด็กเปราะบางทั่วประเทศ โดยทำงานร่วมกับหุ้นส่วนการพัฒนาสังคมในพื้นที่ และ 4) กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ขับเคลื่อนโครงการซ่อมแซมบ้านเรือราษฎรที่ยากจนและด้อยโอกาส โครงการตำบลมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และโครงการที่อยู่อาศัย คนละครึ่ง สำหรับคนไร้บ้าน
นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน ปัญหาที่อยู่อาศัย เป็นปัญหาของเมืองใหญ่ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ มีผู้ไร้ที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ดังนั้นภายในปี 2579 กระทรวง พม. จะทำให้พี่น้องประชาชนมีที่อยู่อาศัยในสัดส่วนที่เหมาะสม ซึ่งมีนโยบาย อาทิ การช่วยออกค่าเช่าบ้านหรือค่าเช่าห้องคนละครึ่ง ซึ่งหน้าที่ของกระทรวง พม. คือการดึงศักยภาพของพี่น้องประชาชนเข้ามาช่วยกันทำงาน และแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งมาเป็นค่าเช่าที่พักอาศัย ทั้งนี้ การที่จะมีที่อยู่อาศัยนั้น ทุกคนต้องร่วมไม้ร่วมมือกัน ไม่ใช่หน้าที่ของภาครัฐ ภาคเอกชน หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งอย่างเดียว เมื่อพี่น้องประชาชนออกแรง เราจะช่วยออกอีกแรง เพราะหนึ่งในปัจจัย 4 คือที่อยู่อาศัย
“วันนี้ เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก 2023 (World Habitat Day 2023) กระทรวง พม. มุ่งเน้นให้ทุกคนร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนให้ยั่งยืน และสามารถเดินไปข้างหน้าได้ด้วยกัน” นายวราวุธกล่าวในตอนท้าย