นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีที่ประชุมสภาฯพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปี วาระสอง และสาม มีผู้อภิปรายกล่าวพาดพิงถึงการเคหะแห่งชาติว่า ฝ่ายค้านอภิปรายพาดพิงถึงการเคหะแห่งชาติจัดงบฯ แบบตักน้ำใส่ตะกร้าไม่ถึงประชาชน โดยชี้แจงว่า ฝ่ายค้านสร้างความเข้าใจผิดต่อสังคม เพราะความจริงงบประมาณที่การเคหะฯ ได้รับนั้นเป็น “งบอุดหนุน” ที่ไปถึงประชาชนโดยตรง ทั้งการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเดิม สร้างปรับปรุงภูมิทัศน์ พื้นที่ส่วนกลาง และอื่น ๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความต้องการที่มาจากผู้ที่อยู่อาศัยในชุมชนต่าง ๆ ของการเคหะแห่งชาติทั้งสิ้น
ส่วนประเด็นการบริหารทรัพย์สินของการเคหะฯ ที่ฝ่ายค้านระบุว่าการเคหะฯ เก็บค่าเช่าได้ต่ำกว่าแผนนั้น ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ ยืนยันว่าเรื่องนี้การเคหะฯ บริหารงานโดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรับคืนอาคารเช่าเหมาจากเอกชนมาให้การเคหะบริหารจัดการเอง เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้พี่น้องประชาชน โดยประชาชนที่อาศัยอยู่ในโครงการอาคารเช่าจะได้รับผลประโยชน์โดยตรง ทั้งด้านการเงินและคุณภาพชีวิต เพราะจะลดภาระค่าเช่าให้กับผู้อยู่อาศัย 10-40 % เพราะทำสัญญาตรงกับการเคหะฯ ขณะที่ค่าไฟฟ้าก็ลดลงจากเดิม เพราะเป็นการเรียกเก็บจากการไฟฟ้าฯ โดยตรง ส่วนค่าน้ำประปานั้นการเคหะฯ ก็คิดในอัตราสำหรับผู้มีรายได้น้อย และยังให้บริการจัดเก็บขยะฟรี ซึ่งต่างจากการให้เอกชนบริหารที่มีการนำไปปล่อยเช่าต่อ มีการกำหนดจัดเก็บค่าไฟฟ้าและค่าน้ำซึ่งแพงกว่าที่การเคหะดำเนินการเอง
ทั้งนี้ เอกชนหลายรายที่การเคหะฯ ได้บอกเลิกสัญญาเช่าเหมาไปแล้ว ยังอยู่ระหว่างค้างชำระหนี้ให้แก่การเคหะฯ บางรายค้างชำระเป็นเวลานาน ทั้งที่เก็บค่าเช่าจากผู้อยู่อาศัยมาแล้ว จนถึงขณะนี้ยังคงมียอดหนี้ค้างค่าเช่าเหมาจากเอกชน กว่า 300 ล้านบาท และหลายรายอยู่ระหว่างฟ้องร้องดำเนินคดี
นอกจากนั้นแล้วการเช่าตรงกับการเคหะฯ จะทำให้สามารถดูแลประชาชนได้ทันท่วงที หากเกิดสถานการณ์เช่นเดียวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งยังสามารถเข้าไปปรับปรุงซ่อมแซมห้องพักอาศัย ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมภายในโครงการที่การเคหะฯ ดูแลโดยตรงอีกด้วย