นายดนัย ดีโรจน์วงศ์ ประธานกรรมการ บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัดเปิดเผยว่า แม้ตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทยจะฟื้นตัวหลังจากโควิด แต่กำลังซื้อในปีนี้น่าจะยังคงทรงๆ บริษัทจึงเน้นขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยให้ความสำคัญในการขยายตลาดไปที่ สหรัฐอเมริกา ยุโรป และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ขณะเดียวกันก็ยังมีการขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพราะตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเมียนมาที่แม้ว่าวันนี้จะมีปัญหาภายในประเทศ แต่ปีที่แล้วยอดขายมีการเติบโตถึง 200% ส่วนตลาดกัมพูชา เวียดนาม ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
นายดนัย กล่าวต่อว่า มิสทินได้เริ่มขยายตลาดไปยัง สหรัฐอเมริกา ยุโรป และประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บ้างแล้ว โดยผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจไปได้เร็วและความนิยมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
“อุตสาหกรรมความงามยังเติบโตได้ดีในประเทศที่มีกำลังจับจ่ายสูง ผมมองว่า ตลาดอินเดีย เป็นตลาดที่น่าสนใจ มีจีดีพีเติบโตขึ้นเรื่อยๆ คนอินเดียเริ่มมีความกินดีอยู่ดีมากขึ้น จึงจะเป็นตลาดใหม่ของมิสทิน”
นายดนัยกล่าว
นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียที่ดีขึ้นเรื่อยๆ มาตรการของรัฐบาลเรื่องฟรีวีซ่า ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากซาอุดีอาระเบียเดินทางเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น จึงมีผลดีกับสินค้าไทยทุกอุตสาหกรรม จากอาหาร นวดสปา เสื้อผ้า ถึงเครื่องสําอางไทย
นายดนัยกล่าวว่า การก้าวไปสู่ตลาดใหม่ๆ ในอนาคต บริษัทจึงได้สร้างศูนย์วิจัย หรือศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้น 3 แห่งในประเทศไทย จีน และเยอรมนีตั้งแต่ปี 2019-2021 เพื่อพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละภาคพื้น เนื่องจากไลฟ์ไซเคิลของสินค้าสั้นลง การแข่งขันมากขึ้น บริษัทจึงต้องมีการลงทุนพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง
เพื่อตอบรับเทรนด์รักษ์โลก และการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม นายดนัยกล่าวว่า สินค้ามิสทินที่จะผลิตออกสู่ตลาด จึงต้องเป็นสินค้า “บิวตี้แอนด์เฮลท์” และเทรนด์ตลาดที่เกี่ยวกับการดูแลตัวเอง เช่น เป็นสกินแคร์ บอดี้แคร์ เป็นต้น
มิสทินมีแผนจะวางตลาดสินค้าใหม่ พร้อมโชว์นวัตกรรมใหม่ๆ ในงานคอสโมพรอฟ ซีบีอี อาเซียน ที่จะจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ในเดือนมิถุนายนปีนี้
“คอสโมพรอฟ ซีบีอี อาเซียน จะเป็นเวทีให้เรา และแบรนด์เครื่องสําอางในอุตสาหกรรมความงามของคนไทยได้มีโอกาสโชว์เคสให้ชาวโลกเป็นที่รู้จักและมีโอกาสมาสัมผัสสินค้าดีๆ ของคนไทย” นายดนัยกล่าว
ในปีนี้มิสทินยังมีแผนจะแนะนำสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด รวมทั้งการเปิดตัว ครีมกันแดด รุ่นใหม่ที่สามารถสู้กับความร้อนได้ถึง 40 องศา หรือยูวีที่แรงขึ้นในเร็วๆ นี้ จากปัจจุบันมิสทินมีครีมกันแดดกว่า 100 รายการให้เลือก
นอกจากนี้บริษัทจะให้ความสำคัญกับการใช้งบทำกิจกรรมเกี่ยวกับซีเอสอาร์ตลอดทั้งปี โดยร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง ไปดำน้ำและปลูกปะการัง ดึงนักท่องเที่ยวชาวจีน บิวตี้บล็อกเกอร์ มาร่วมกิจกรรมเก็บขยะใต้ท้องทะเล
มิสทินจะทำกิจกรรมซีเอสอาร์มากขึ้น ไม่ใช่แค่ซื้อมาขายไปแล้วก็จบ เพราะองค์กรเล็กหรือใหญ่ต้องมีหน้าที่ในการช่วยกันรักษาทรัพยากรให้มากที่สุด หรือแม้กระทั่งการคิดสินค้าในแนวคิดใหม่ๆ ที่มีส่วนรักษ์โลกจะให้น้ำหนักมากขึ้นในปีนี้
นอกจากนี้มิสทินยังเน้นการสร้างแบรนด์ ผ่านนิยามความงามบริบทใหม่ บนคีย์เวิร์ด “I am perfectly me” ทุกคนมีความสวยงาม
“สมัยก่อนเราจะนิยมสวยตามแบบฉบับคนญี่ปุ่น ที่เรียกว่าเจ-บิวตี้ ต่อมาก็เป็น เค-บิวตี้ มิสทินจะผลิตสินค้าที่มีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และจะเป็นผู้นำที่จะสร้างคอนเซ็ปต์ของคําว่า ทีบิวตี้” นายดนัยกล่าว
ปัจจุบันตลาดรวมเครื่องสำอางเมืองไทยมีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งราว 20% เป็นการจับจ่ายผ่านช่องทางของนักท่องเที่ยว เช่น คิงพาวเวอร์ ร้านวัตสัน ร้านบู๊ทส์ ซึ่งมิสทินมีแผนจะขยายตลาดไปยังช่องทางนี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่องทางดิวตี้ฟรี