นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ต่างเชื่อว่า เฟดจะไม่สามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้อีก 2 ครั้ง ตาม Dot Plot ใหม่ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด อย่าง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและการว่างงานต่อเนื่อง (Initial & Continuing Jobless Claims) ออกมาแย่กว่าคาด ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่อง โดยเน้นซื้อ หุ้นเทคฯ ใหญ่เป็นหลัก อาทิ Microsoft +3.2%, Meta +3.1% ส่งผลให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.22%
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาย่อตัวลง -0.13% กดดันโดยการขึ้นดอกเบี้ย +25bps ล่าสุด และการส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากการขายทำกำไรหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมและหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในสัปดาห์นี้ (Kering -1.3%, Anglo American -0.10%)
ทางด้านตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดยังคงไม่แน่ใจต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งของเฟดในปีนี้ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดออกมาแย่กว่าคาดบ้าง โดยเฉพาะในส่วนยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการเข้าซื้อ ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาย่อตัวลงสู่ระดับ 3.72% หลังปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านแถวระดับ 3.85%
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงชัดเจนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) หลัง ECB มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้ล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 102 จุด ส่วนในฝั่งราคาทองคำ แม้ว่าราคาทองคำจะย่อตัวลงหลังตลาดรับรู้ผลการประชุมเฟด แต่ทว่า การพลิกกลับมาอ่อนค่าของเงินดอลลาร์และการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงหลังตลาดรับรู้ผลการประชุม ECB และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) รีบาวด์ขึ้นทดสอบโซน 1,970 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยขายทำกำไรทองคำ หลังจากได้เข้าซื้อทองคำในช่วงที่มีการย่อตัวลงมาและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็อาจมีส่วนช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ เรามองว่า ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเรามองว่า BOJ จะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อ โดยจะ“คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ -0.10% และยังคงตรึงบอนด์ยีลด์ 10 ปี ไว้ที่ระดับ 0.00%+/-0.50% จนกว่า BOJ จะมั่นใจว่า อัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มอยู่ใกล้ระดับ 2% ได้ในระยะยาว แม้ว่าปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อจะสูงกว่า 3.5% ก็ตาม แต่ BOJ ยังคงกังวลว่า อัตราการเติบโตของค่าจ้างยังไม่สูงพอที่จะหนุนให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ใกล้ระดับ 2% ได้ในระยะยาว
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซนในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเรามองว่า หากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ก็จะช่วยหนุนให้ ECB มีโอกาสเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) จนถึงระดับ 3.75% ได้เป็นอย่างน้อย
และในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ซึ่งในรายงานเดียวกันนี้ ผู้เล่นในตลาดก็จะรอจับตาสัญญาณเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อผ่าน คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะสั้นและระยะยาว
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นชัดเจน ทดสอบโซน 34.60 บาทต่อดอลลาร์ ตามการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำและการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์
เรามองว่า การแข็งค่าของเงินบาทอาจเริ่มชะลอลงได้บ้าง โดยเฉพาะ หากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ย้ำจุดยืนใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่อง กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) มีโอกาสอ่อนค่าลงได้บ้าง (หลังจากที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นในช่วงคืนที่ผ่านมาเช่นเดียวกับเงินบาท) โดยต้องจับตาโซนแนวรับสำคัญของเงินบาทแถว 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ว่าเงินบาทจะสามารถแข็งค่าหลุดระดับดังกล่าวได้หรือไม่ ทั้งนี้ บรรดาผู้นำเข้าอาจรอจังหวะเงินบาทแข็งค่าขึ้นในการทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ ทำให้การแข็งค่าต่อของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัด
อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจแข็งค่าใกล้โซนแนวรับได้ หลังบรรยากาศในตลาดการเงินกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น (Risk-On) อีกทั้งในฝั่งตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกง ก็เริ่มมีทิศทางที่สดใส หลังธนาคารกลางจีน (PBOC) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงตามคาด ทำให้เงินบาทก็อาจได้รับอานิสงส์แข็งค่าขึ้น ตามทิศทางสกุลเงินหยวนของจีน รวมถึงหากนักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยมากขึ้นได้ นอกจากนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำอย่างใกล้ชิด เพราะหากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อ เราคาดว่าผู้เล่นในตลาดอาจทยอยขายทำกำไรเพิ่มเติม และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาท
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังเผชิญความไม่แน่นอนของการเมืองไทย รวมถึงทิศทางนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางหลัก ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.50-34.70 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม BOJ
และอาจอยู่ในกรอบ 34.45-34.75 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม BOJ