ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.68 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.70 บาทต่อดอลลาร์

0
636

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ต่อเนื่อง หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบริษัทใหญ่ อย่าง Nike (+12.2%) ที่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Conference Board ในเดือนธันวาคม ก็ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 108.3 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาดไปมาก หลังผู้บริโภคในฝั่งสหรัฐฯ เริ่มคลายกังวลปัญหาเงินเฟ้อสูง อีกทั้งตลาดแรงงานสหรัฐฯ ก็ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างกลับเข้ามาซื้อหุ้นสหรัฐฯ หลังจากที่มีการปรับฐานมาพอสมควรในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นราว +1.49%

ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป พุ่งขึ้นราว +1.71% หนุนโดยความหวังของผู้เล่นในตลาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ตลาดเคยกังวล หลังจากที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของเยอรมนี (Gfk Consumer Climate) ในเดือนธันวาคม ได้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ -37.8 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรป จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยตามอานิสงส์ของผลประกอบการบริษัท Nike สหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด

ในส่วนตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เริ่มเคลื่อนไหวในกรอบใกล้ระดับ 3.70% หลังจากที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากผลกระทบของความกังวลแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายน้อยลงของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งอาจมองได้ว่า ผู้เล่นบางส่วนอาจยังคงมีความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลักชะลอตัวลงหนักและรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ก่อนที่จะทยอยเข้าซื้อสะสมและเพิ่มสถานะการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยให้มากขึ้น

ส่วนในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 104.2 จุด หนุนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ แรงขายทำกำไรการแข็งค่าของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็ส่งผลให้ เงินเยนอ่อนค่าลงเล็กน้อยสู่ระดับ 132.4 เยนต่อดอลลาร์ (หลังจากที่ได้แข็งค่าไปใกล้ระดับ 131 เยนต่อดอลลาร์) ทั้งนี้ การปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ได้ส่งผลให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ยังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 1,825 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งใกล้กับโซนแนวต้าน ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นบางส่วนอาจใช้จังหวะที่ราคาทองคำแกว่งตัวใกล้แนวต้านในการขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำเกิดขึ้นนั้น อาจช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้บ้าง

สำหรับวันนี้ ในฝั่งไทย ตลาดคาดว่า ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจะทำให้ยอดการส่งออก (Exports) ในเดือนพฤศจิกายน อาจหดตัวต่อเนื่อง -5%y/y ในขณะที่ยอดการนำเข้า (Imports) อาจยังขยายตัวราว +0.6%y/y ทำให้ดุลการค้า (Trade Balance) อาจขาดดุลราว -100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา อาจพอได้แรงหนุนจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่า เงินดอลลาร์ก็เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง (ดัชนี DXY ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 104 จุด) ทำให้เราประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบต่อ (sideways) และอาจไม่ได้แข็งค่าต่อเนื่องไปมาก หากเงินดอลลาร์ก็ไม่กลับมาอ่อนค่าลงชัดเจนเหมือนช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ เราเริ่มเห็นสัญญาณการขายทำกำไรบอนด์ระยะสั้นจากนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นการขายทำกำไรสถานะ Short USDTHB (มองว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น) ทำให้เราคงมุมมองเดิมว่าแนวรับเงินบาทจะยังอยู่ในโซน 34.50-34.60 บาทต่อดอลลาร์ และควรระวังความผันผวนในฝั่งอ่อนค่าที่อาจเกิดขึ้นในวันนี้ หากรายงานข้อมูลยอดการส่งออกของไทยนั้นออกมาหดตัวมากกว่าคาด จนทำให้ดุลการค้าอาจขาดดุลมากกว่าคาดได้

การเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้เราคงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.55-34.75 บาท/ดอลลาร์