กรุงศรี ประกาศแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ มุ่งเป้ายืนหนึ่งธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืนภายใน 2569

0
598

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) หนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก ประกาศแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ (Medium-Term Business Plan: MTBP) ครอบคลุมปี 2567-2569 พร้อมมุ่งเป้ายืนหนึ่งการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน โดยตั้งอยู่บนหลักสำคัญสามประการ คือ ขับเคลื่อนสู่การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน เชื่อมโยงอาเซียนผ่านศักยภาพอันแข็งแกร่งของกรุงศรี และ MUFG เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งในระดับประเทศและระดับสากล และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจหลักของธนาคาร

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปีที่ผ่านมาถือเป็นวาระสำคัญครบรอบ 10 ปีของความร่วมมือระหว่างกรุงศรี และ MUFG และเป็นปีสุดท้ายของแผนธุรกิจระยะกลางฉบับที่สาม กรุงศรีให้ความสำคัญกับการยึดหลักลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer-centric Approach) มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการผ่านการพัฒนาขีดความสามารถด้านดิจิทัลและนวัตกรรม ซึ่งได้บรรลุความสำเร็จมากมายตลอดการเดินทางของเรา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างธุรกิจและเครือข่ายที่แข็งแกร่งในอาเซียน การขยายศักยภาพการในด้าน ESG มากขึ้น ตลอดจนเป็นผู้บุกเบิกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนของประเทศไทย รวมทั้งการก่อตั้งบริษัทร่วมทุนที่แข็งแกร่งอย่างกรุงศรี ฟินโนเวต ที่ให้การสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มสตาร์ทอัพและบริษัทด้านเทคโนโลยีอีกด้วย ความสำเร็จต่าง ๆ ของกรุงศรีที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมานั้นสะท้อนผ่านตัวเลขผลการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี โดยกรุงศรีสามารถทำรายได้สุทธิกว่า 30,000 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสามเท่าในเวลาหนึ่งทศวรรษ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ครองตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรม ทั้งยังคงความเป็นผู้นำด้านคุณภาพสินทรัพย์มาโดยตลอดอีกด้วย”

“กรุงศรีก้าวเข้าสู่แผนธุรกิจระยะกลางฉบับที่สี่ โดยมุ่งเป้ายืนหนึ่งการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน แผนธุรกิจระยะกลางฉบับนี้สะท้อนถึงความตั้งใจอย่างแน่วแน่ของกรุงศรีเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนเชิงเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาลสู่อนาคตที่มั่นคง ทำให้กรุงศรีเป็นธนาคารแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืนระดับแถวหน้า แนวทางการดำเนินงานนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายของ MUFG ที่ต้องการมุ่งสร้างอนาคตที่สดใสยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายร่วมกันทั้งในด้านความยั่งยืน การเป็นธนาคารที่มีความรับผิดชอบ และการพัฒนาชุมชน” นายเคนอิจิ กล่าวเสริม

ปีแห่งความท้าทาย
ข้อมูลจากวิจัยกรุงศรีระบุว่า ประเทศไทยกำลังเดินอยู่บนเส้นทางของการฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายสาธารณะ นโยบายสนับสนุนต่าง ๆ ของภาครัฐ ตลอดจนกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัว และการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดีขณะที่แรงส่งภายนอกสร้างความท้าทายต่อโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน ภาวะทางการเงินที่ตึงตัวขึ้น และภัยแล้งที่เพิ่มความซับซ้อนขึ้นทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลง

เป้าหมายและทิศทางทางธุรกิจ
แผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ประจำปี 2567-2569 เป็นมากกว่าแผนงาน โดยแก่นหลักของแผนฉบับนี้คือความมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่การเป็น “ธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน” ที่สะท้อนถึงคำมั่นสัญญาขององค์กรสู่อนาคตที่ความยั่งยืนและการสร้างแข็งแกร่งในระดับภูมิภาคเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวแผนธุรกิจฉบับนี้จะมุ่งเป้าไปยังสามประการหลัก ได้แก่ การเป็นธนาคารชั้นนำเพื่อความยั่งยืน การขับเคลื่อนความเป็นผู้นำระดับภูมิภาค และการรักษาตำแหน่งผู้นำในธุรกิจหลักของธนาคาร

จากเป้าหมายด้าน ESG สู่ความสำเร็จทางการเงิน
กรุงศรีในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืน เราได้วางเป้าหมายในการเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินให้แก่โครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืนที่ 100,000 ล้านบาทภายในปี 2573 และให้การสนับสนุนลูกค้าในการออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา กรุงศรีมียอดสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนเพิ่มขึ้น 71,000 ล้านบาทจากฐานปี 2564 โดยแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่นี้ กรุงศรีจะมุ่งขยายบริการทางการเงินเพื่อความยั่งยืนเพื่อเข้าถึงฐานลูกค้า SME และลูกค้ารายย่อยที่หลากหลายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการจัดหาเงินทุนเพื่อช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าธุรกิจ และ SME ในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นธุรกิจคาร์บอนต่ำ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนในเรื่องกติกาด้านการเงินและภาษี (Taxonomy) ที่จำแนกประเภทกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับความเข้มของค่าคาร์บอนโดยใช้ระบบสัญญาณไฟจราจรเป็นเกณฑ์

การสร้างคุณค่าให้กลุ่มลูกค้า
เครือข่ายของกรุงศรี และ MUFG ในปัจจุบันครอบคลุม 9 ใน 10 ประเทศในอาเซียน โดยกรุงศรีมีบริษัทในเครือ กระจายอยู่ใน 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา และ สปป.ลาว ที่ให้บริการลูกค้าแล้วกว่า 17 ล้านราย การดำเนินงานในอาเซียนของกรุงศรีส่งเสริมขีดความสามารถของธนาคารในหลายแง่มุม ตั้งแต่โมเดลธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอ ไปจนถึงการระดมทุน การบริหารความเสี่ยง โซลูชันดิจิทัล และนวัตกรรมที่หลากหลาย

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการสร้างรากฐานอันแข็งแกร่งให้กับกรุงศรีในการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาค และ
กรุงศรีมุ่งมั่นเดินหน้าใช้ประโยชน์จากเครือข่าย MUFG เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตและเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศไทยและภูมิภาค ผ่านการนำเสนอโซลูชันการจับคู่ธุรกิจแบบครบวงจรด้วยแพลตฟอร์ม Krungsri Business Link และบริการ Krungsri ASEAN Link ที่จะช่วยเชื่อมโยงลูกค้าธุรกิจชาวไทยกับพันธมิตรทางธุรกิจที่เชื่อถือได้เข้าด้วยกันผ่านเครือข่ายของธนาคารที่มีอยู่ในอาเซียนและญี่ปุ่น

ตอกย้ำจุดแข็งของกรุงศรี
กรุงศรีมุ่งมั่นที่จะสร้างความแข็งแกร่งและรักษาตำแหน่งผู้นำในธุรกิจหลักของธนาคาร เพื่อให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยจะเน้นเรื่องดิจิทัล ดาต้า ระบบนิเวศและการสร้างพันธมิตรเป็นแกนสำคัญในการดำเนินงาน สำหรับกลุ่มธุรกิจลูกค้ารายย่อยและลูกค้าบุคคล กรุงศรียังคงเดินหน้ากลยุทธ์ One Retail โดยการใช้ดาต้าเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเป็นหลัก สำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ กรุงศรีจะขยายขีดความสามารถด้านธุรกรรมการเงินทั้งในและต่างประเทศในรูปแบบ Banking as a Service โดยพัฒนาร่วมกับพันธมิตรจากทั้งในไทยและต่างประเทศ และสำหรับในด้าน IT และดิจิทัล กรุงศรีจะเดินหน้าลงทุนในดิจิทัลแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีที่ยึดความต้องการลูกค้าเป็นหลัก รวมถึงการใช้ AI และ Machine Learning เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์และการให้บริการกับลูกค้าในทุกกลุ่ม ผ่านทุก Touchpoint ทั้งสาขา ออนไลน์ โมบายแอป และ Call Center

กรุงศรีคาดว่าในปี 2567 เงินให้สินเชื่อจะเติบโตที่ 3-5% และตั้งเป้าหมายของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.8-4.1% ธนาคารคาดว่าอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ราว
2.50-2.75% ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (cost-to-income ratio) จะอยู่ในระดับ mid-40%

Krungsri unveils new medium-term business plan to be
“The Leading Sustainable and Regional Bank” by 2026

Bangkok (1 February 2024) – Krungsri (Bank of Ayudhya PCL and its business units), a member of Mitsubishi UFJ Financial Group (MUFG), one of the world’s largest financial groups, announced its new Medium-Term Business Plan (MTBP) covering 2024-2026 with an aspiration to be
The Leading Sustainable and Regional Bank. Krungsri prioritises three key focuses: enhancing its dedication to sustainable banking practices, connecting its strong ASEAN presence and MUFG network to serve domestic and international markets, and growing its core business.

Mr. Kenichi Yamato, Krungsri President and Chief Executive Officer, said, “Last year marked the 10th anniversary of Krungsri’s partnership with MUFG and the completion of our 3rd MTBP. Our focus has continuously been on adopting a customer-centric approach to deliver products and services through the enhancement of our digital and innovation capabilities, and we have had many great achievements during our journey, including establishing a strong presence across ASEAN, significantly expanding our focus to the ESG space and pioneering the introduction of Thailand’s inaugural Sustainability Linked finance products, and establishing robust corporate venture capital, Krungsri Finnovate to actively support startups and technology companies. The accomplishments of Krungsri over the past decade are clearly evident in our financial performance. We have experienced substantial growth, with our net income escalating from 11 billion baht to surpassing 30 billion baht, marking a threefold increase within the decade. Currently, our ROE holds a leading position in the industry. We are also maintaining unwavering leadership in asset quality.”

“As we embark on our 4th MTBP, our aspiration is to be The Leading Sustainable and Regional Bank. This reflects Krungsri’s determination to drive economic, social, environmental and governance sustainability towards a secure and enduring future and establishes Krungsri as a leading sustainable and regional bank. Our journey aligns seamlessly with MUFG’s broader purpose and values. Together, we are committed to empowering a brighter future through shared goals in sustainability, responsible banking, and community development.” Mr. Kenichi added.

The year ahead
According to Krungsri Research, Thailand is on the path to gradual economic recovery, fueled by the resurgence of public expenditure, policy supports, a gradual rebound in tourism activity, and a notable rise in employment. However, as external headwinds pose challenges to the prospect of sustained growth, tightened financial conditions and the spectre of drought add further complexity, curtailing the overall pace of economic activity.

Aspirations and direction
The new MTBP for 2024 – 2026 is more than a plan. At the core is Krungsri’s aspiration to be ‘The Leading Sustainable and Regional Bank,’ reflecting the company’s commitment to a future where sustainability and making regional impact take centre stage. To achieve this, the
2024-2026 MTBP will focus on three strategic goals: becoming a leading sustainable bank; driving its regional leadership; and ensuring it maintains a leading position in its core business.

Translating ESG goals into financial success
Krungsri has already established a sustainability leadership position by committing to growing its social and sustainable finance portfolio by 100 billion baht by 2030 as well as supporting clients with the issuance of sustainable finance. At the end of 2023, our social and sustainable finance portfolio increased by 71 billion baht from the 2021 base year. The next MTBP will expand its scope of sustainable finance services to reach a more diverse customer base, including SMEs and retail customers. The bank will also focus on transition financing to assist corporate and SME clients in transition into low-carbon businesses, while also supporting clients in taxonomy, which classifies types of economic activities corresponding to their carbon intensity using the traffic light system.

Creating value for customers
Krungsri and MUFG’s current ASEAN network spans across 9 of the 10 ASEAN countries encompassing Krungsri’s overseas subsidiaries in 5 countries: Indonesia, the Philippines, Vietnam, Cambodia and Lao PDR, serving 17 million customers. Its regional presence enhances the bank’s capabilities in various aspects, from business models and product offerings to funding, risk management, digital solutions, and innovation.

This provides a strong foundation for Krungsri to be the leading regional bank, and Krungsri will continue to utilise MUFG and Krungsri’s network to drive growth by connecting with the needs of our clients in Thailand and the region by providing comprehensive business matching solution through the Krungsri Business Link Platform and Krungsri ASEAN Link service. This service connects Thai business customers to reliable verified business partners throughout the bank’s network in ASEAN and Japan.

Reinforcing core strengths
Krungsri is dedicated to strengthening its leading position in its core businesses prioritising Digital, Data, Ecosystem, and Partnerships. These pillars continue to its sustainable growth. For retail and consumer banking customers, Krungsri is advancing its One Retail strategy by using
data-driven to serve customers. For commercial business customers, Krungsri is amplifying its transaction banking capabilities, both domestically and internationally, through strategic collaborations with external partners, embracing the concept of Banking as a Service. Furthermore, in digital and IT, Krungsri is investing in digital platforms and cutting-edge technology, with a customer-centric approach. These technologies, including AI and ML, are employed to enrich product and service offerings across all customer touchpoints, spanning branches, online platforms, mobile applications, and call centres.

Krungsri expects its loan business to grow by 3-5% through 2024, while the targeted net interest margin (NIM) is at 3.8 – 4.1%. It is expected that the ratio of Non-Performing Loans (NPL) ratio will be between 2.50 – 2.75%, and the cost-to-income ratio will be in the mid-40%s.