กรมควบคุมโรค เผยกรณีพบโคเนื้อติดเชื้อพิษสุนัขบ้า ขอให้ประชาชนอย่าวิตกกังวล หากต้องการบริโภคเนื้อวัว ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
วันนี้ (30 มกราคม 2568) นายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึง กรณีพบโคเนื้อและสุนัขป่วยด้วยโรคพิษสุนัขบ้า ว่าได้มีการกำหนดเขตโรคระบาดชั่วคราว ตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 ที่อำเภอซำสูง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งปศุสัตว์จังหวัดขอนแก่น และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่นได้มีการค้นหาติดตามผู้สัมผัสสัตว์ให้เข้ารับ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว
จากสถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้าในประเทศไทย ยังมีการพบเชื้อโรคในสัตว์เกือบทุกพื้นที่ โดยเฉพาะภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ สัตว์ที่มีการติดเชื้อสูงสุดคือ สุนัข รองลงมา ได้แก่ วัว ควาย
ซึ่งถูกสุนัขกัด องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้จัดระดับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้ากรณีที่มีการรับประทานเนื้อวัวที่ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าโดยไม่ทำให้สุก เป็นความเสี่ยงในระดับที่ 2 จาก 3 ระดับ หากมีการบริโภคเนื้อวัวดังกล่าว แนะนำให้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่ปรากฎหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีคนที่ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าจากการกินหรือสัมผัสเนื้อวัวที่ไม่สุก เนื่องจากเชื้อโรคนี้ส่วนใหญ่มักอยู่ที่น้ำลายสัตว์ ไม่ค่อยเข้าสู่กระแสเลือด ดังนั้นโอกาส ที่จะติดเชื้อจากการสัมผัสหรือบริโภคเนื้อวัวดิบจึงมีน้อยมาก
นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า การรับประทานเนื้อสัตว์ ที่ปรุงสุกและน้ำนมพาสเจอร์ไรส์จากสัตว์ติดเชื้อไม่ทำให้ติดโรค โดยช่องทางการติดเชื้อที่สำคัญที่สุดคือการสัมผัสกับน้ำลายสัตว์ ผ่านการถูกกัด ข่วน เลีย ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่สงสัย เป็นโรคพิษสุนัขบ้าโดยตรง กินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุก หากถูกสัตว์ที่สงสัยเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด หรือมีการสัมผัสกับน้ำลายสัตว์ ให้รีบล้างแผลหรือจุดสัมผัสด้วยน้ำและสบู่นาน 10-15 นาที ใส่ยาฆ่าเชื้อ และรีบไปพบแพทย์เพื่อรับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ควรกักสุนัขที่สงสัยเป็นโรคเพื่อดูอาการ อย่างน้อย 10 วัน วัวหรือควายให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ เพื่อส่งตรวจหาเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า และรีบไปพบแพทย์ เพื่อพิจารณาฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและต้องรับวัคซีนให้ครบชุด โดยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 1422 สายด่วนกรมควบคุมโรค
ข้อมูลจาก : กองโรคติดต่อทั่วไป/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค
30 มกราคม 2568