เอสซีจี แถลงผลประกอบการ ไตรมาส 1 ปี 2567 ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน เดินหน้านวัตกรรมกรีนต่อเนื่อง เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด รุกธุรกิจในตลาดเติบโตสูง

0
218

เอสซีจี เผยผลประกอบการ ไตรมาส 1 ปี 2567 ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ด้วยนวัตกรรมกรีน การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงอานิสงส์จากการท่องเที่ยวคึกคักและเศรษฐกิจในประเทศมีสัญญาณฟื้นตัว  หลังจากนี้เศรษฐกิจโลกอาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง เอสซีจีเตรียมพร้อมรับความผันผวน ปรับเปลี่ยนแผนงานธุรกิจ รวมถึงการบริหารซัพพลายเชน และพร้อมลุยต่อตามแนวทาง Inclusive Green Growth เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดช่วยลดต้นทุน เร่งเครื่องนวัตกรรมกรีนตอบเมกะเทรนด์โลก มุ่งขยายธุรกิจในตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูง ด้านโครงการปิโตรเคมีเวียดนามปักหมุดผลิตเม็ดพลาสติกป้อนตลาดโลกในไตรมาส 3

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “ผลประกอบการเอสซีจี ไตรมาส 1 ปี 2567 มีแนวโน้มดีขึ้น  แม้เศรษฐกิจโลกผันผวน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีอยู่ในช่วงอ่อนตัว แต่เอสซีจีสามารถบริหารต้นทุนได้ดี นำเสนอนวัตกรรมกรีนต่อเนื่อง สู่ตลาด ส่งผลให้มีรายได้ 124,266 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน และมี EBITDA (กำไรก่อนต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย โดยรวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) 12,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อน และกำไรสำหรับงวด 2,425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,559 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน  ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการพัฒนานวัตกรรมกรีนให้โดนใจลูกค้า ฟังก์ชันตอบโจทย์การใช้งาน ช่วยลดคาร์บอนซึ่งดีต่อโลก อาทิ ปูนคาร์บอนต่ำ พลาสติกรักษ์โลก บรรจุภัณฑ์ยั่งยืนที่ใช้ซ้ำ รีไซเคิลได้ เห็นได้จากยอดขาย SCG Green Choice ซึ่งอยู่ที่ 65,782 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 53 ของยอดขายทั้งหมด (เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 1,114 ล้านบาท) ขณะเดียวกันยังลดต้นทุนได้ดี ใช้กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยโรงงานปูนซีเมนต์ในไทยเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนได้ถึงร้อยละ 47  นอกจากนี้ หุ้นปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ยังได้รับเลือกให้ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา เป็นช่องทางใหม่ให้นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้น SCC และผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ

             เอสซีจีเร่งเดินหน้าต่อตามแนวทาง Inclusive Green Growth มุ่งสู่ผู้นำธุรกิจกรีน ควบคู่การสร้างสังคม Net Zero  พัฒนานวัตกรรมกรีนเพื่อป้อนตลาดโลก ซึ่งมีความต้องการสูงและเติบโตได้อีกมาก ล่าสุดปูนคาร์บอนต่ำ (เจเนอเรชัน 2) ที่ช่วยลดคาร์บอนได้ร้อยละ 15-20  จะพร้อมจำหน่ายแล้ว นอกจากนั้นเตรียมรับเศรษฐกิจในประเทศและภูมิภาคที่กำลังฟื้นตัว โดยขยายการลงทุนในตลาดที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอย่างภูมิภาค SAMEA (เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา) ส่วนโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals – LSP) จะกลับมาเดินเครื่องทดสอบทั้งโรงงาน เพื่อสร้างความพร้อมในการผลิตเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงในไตรมาส 3” 

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง หรือ SCGP สร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การใช้วัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการวัตถุดิบ การส่งเสริมการปลูกไม้ยูคาลิปตัสแบบครบวงจร เพื่อให้ได้วัตถุดิบคุณภาพและช่วยกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ 31,770 ไร่ จำนวน 152,181 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และมุ่งต่อยอดเพิ่มมูลค่าไม้ยูคาลิปตัสผ่านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการลงทุนงบประมาณ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในความร่วมมือกับ Origin Materials บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา พัฒนา “Bio–based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ” รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด นำเทคโนโลยี Machine Learning และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดการใช้พลังงานและต้นทุน  และสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการเตรียมความพร้อมรองรับเทรนด์การเติบโตของธุรกิจสีเขียว

ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน พัฒนานวัตกรรมปูนซีเมนต์หลากหลายประเภทตามการใช้งาน  ล่าสุดการใช้ ‘ปูนคาร์บอนต่ำ’ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 85 และวันที่ 5 พฤษภาคมนี้ จะเปิดตัวปูนคาร์บอนต่ำ (เจเนอเรชัน 2) ซึ่งลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ร้อยละ 15-20 เทียบเท่ามาตรฐานสากล พร้อมตั้งเป้าปีนี้ เปลี่ยนกระบวนการผลิตทุกโรงงานปูนซีเมนต์ในไทยให้เป็นปูนคาร์บอนต่ำ (เจเนอเรชัน 2) ขณะเดียวกันยังต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำอื่น ๆ ด้วย อาทิ ‘คอนกรีตคาร์บอนต่ำ ซีแพค’ ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตได้อย่างน้อย 25 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร หรือเท่ากับการปลูกต้นไม้ 25 ต้น สำหรับทุกการใช้งานคอนกรีต 10 ลูกบาศก์เมตร โดยคงคุณสมบัติเทียบเท่าหรือดีขึ้นกว่าเดิม  ‘เสือ เดคอร์ คาร์บอนต่ำ’ ปูนซีเมนต์สำเร็จรูปสูตรคาร์บอนต่ำ สำหรับงานหล่อพื้นหรือฉาบตกแต่งผนัง ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลงร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ รวมทั้งเสิร์ฟปูนซีเมนต์ให้ลูกค้าทุกเซกเมนต์ อาทิ ‘ปูนงานโครงสร้างทนทานพิเศษ เอสซีจี คาร์บอนต่ำ สูตรปูนคนใต้’ พัฒนาให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ของภาคใต้  ‘คอนกรีตชายเล ซีแพค และคอนกรีตมารีน ซีแพค’ สำหรับพื้นที่ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ป้องกันโครงสร้าง สิ่งปลูกสร้างใกล้ชายฝั่งทะเล  ‘คอนกรีตซีแพค ซูเปอร์ ทนดินเค็ม’ สำหรับภาคอีสาน ซึ่งเป็นพื้นที่ดินเค็ม ต้านทานการซึมผ่านของคลอไรด์และซัลเฟตที่สะสมใต้ดิน  นอกจากนี้ โรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศได้เพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนถึงร้อยละ 47  ส่วนโรงงานปูนซีเมนต์ทุ่งสงที่ได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อรองรับการใช้เชื้อเพลิงทดแทน    

ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง มุ่งพัฒนาสินค้าวัสดุก่อสร้างและโซลูชันเพื่อการอยู่อาศัยที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า อาทิ ‘บ้านเอสซีจี ไฮม์ High Ceiling’ แบบบ้านใหม่สไตล์โมเดิร์น มีพื้นที่ใช้สอยตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ เพิ่มมุมพักผ่อนกลางบ้าน พร้อมโถงขนาดใหญ่ Double Space และยังคงคุณภาพการก่อสร้างและเทคโนโลยีการอยู่อาศัยแบบเอสซีจี ไฮม์ที่ลูกค้าไว้วางใจ  ‘หลังคาเมทัล เอสซีจี รุ่นคลิปล็อค 700’ ออกแบบให้ติดตั้งด้วยระบบคลิปล็อค (Clip Lock) ซ่อนหัวสกรู หมดปัญหารั่วซึมบริเวณหัวสกรู เตรียมจำหน่ายไตรมาส 2  ‘SCG Modeena COFF’ วัสดุตกแต่งผนังไฟเบอร์ซีเมนต์ ที่มีส่วนผสมของวัสดุรีไซเคิลจากกระบวนการผลิตและวัสดุเหลือใช้จากธุรกิจอื่นถึงร้อยละ 48 ทดแทนการใช้ Virgin Fiber ลดการปล่อยคาร์บอน แต่คงความแข็งแรง ทนทาน สวยงาม พร้อมกันนี้เตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ‘ONNEX by SCG Smart Living’ (ออนเนกซ์ บาย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง) ครั้งแรกในงานสถาปนิก 67 รุกธุรกิจสมาร์ทโซลูชันสำหรับบ้านและอาคารเต็มที่ ด้วยการผนึกรวมนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัย ทั้งด้านประหยัดพลังงาน สร้างอากาศสะอาด และเพิ่มความปลอดภัย อาทิ ระบบหลังคาโซลาร์ ระบบปรับคุณภาพอากาศภายในบ้าน และโซลูชันบริหารจัดการการใช้พลังงานในอาคาร

ธุรกิจเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล รุกธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูงอย่างต่อเนื่อง อาทิ ภูมิภาค SAMEA ซึ่งมีค่า GDP เฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 70 และมีประชากรรวมกันมากกว่าร้อยละ 40 ของโลก โดยมีการตั้งสำนักงานของ SCG International ที่ซาอุดิอาระเบีย เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการซัพพลายเชนให้ลูกค้าแบบครบวงจร ผ่านการผลักดันเครือข่ายธุรกิจทั้งหมดของเอสซีจี ครอบคลุมทั้งปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง กระดาษและบรรจุภัณฑ์ ตลอดจนวัตถุดิบและชิ้นส่วนอุตสาหกรรม โดยมีแผนขนส่งสินค้าจากซาอุดิอาระเบียกระจายไปยังหลายประเทศทั่วโลก และจัดหาสินค้าจากภูมิภาคอื่น ๆ เข้ามายังซาอุดิอาระเบียเช่นกัน  ขณะที่ในตลาดอาเซียนได้ผลิตสินค้าปูนซีเมนต์ถุงเจาะกลุ่ม Economy Segment ที่เติบโตสูง อาทิ แบรนด์ 5-Star Cement ในกัมพูชา แบรนด์ ADAMAX ในเวียดนาม และแบรนด์ Bezt ในอินโดนีเซีย ในส่วนของธุรกิจรีเทลในประเทศ ได้สร้างการรับรู้สำหรับร้าน เอสซีจี โฮม โดยล่าสุดได้จัดงาน Grand Opening สาขาเมืองขอนแก่น

ธุรกิจเคมิคอลส์ หรือ SCGC เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายนวัตกรรมพลาสติกรักษ์โลก ‘SCGC GREEN POLYMERTM อย่างเต็มที่ เพื่อคว้าโอกาสรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่จะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2567 โดยไตรมาสที่ผ่านมา  มียอดขาย 38,000 ตัน โดยทั้งปี 2566 มียอดขาย 218,000 ตัน สอดคล้องตามเป้าหมาย 1 ล้านตันภายในปี 2573 นอกจากนี้ยังผนึกกำลังกับพันธมิตรชั้นนำ อาทิ โฮมโปร ผลิต ‘เครื่องใช้ไฟฟ้ารักษ์โลก’ ครั้งแรกในไทย โดยนำเครื่องใช้ไฟฟ้าใช้แล้วกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลระบบปิดอย่างครบวงจร เพื่อเปลี่ยนเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง Green Polymer สำหรับผลิตเป็นสินค้าใหม่ นอกจากนี้ ภายใต้บริษัท Sirplaste SA โปรตุเกส ยังได้เปิดตัว ‘SIRPRIME’ เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงชนิดไร้กลิ่น หรือ High Quality Odorless PCR HDPE Resin (PCR HDPE) ผลิตจากขยะพลาสติกจากครัวเรือน 100% โดยใช้เทคโนโลยีรีไซเคิลประสิทธิภาพสูงเพื่อกำจัดกลิ่นและสิ่งแปลกปลอม ได้รับการรับรองมาตรฐาน EuCertPlast และ RecyClass ของยุโรป ขณะที่ ‘โครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนาม’ อยู่ในช่วงการประเมินและตรวจสอบเครื่องจักรอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจเรื่องความปลอดภัย คาดว่าจะกลับมาเดินเครื่องจักรทดสอบและพร้อมผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3

           ธุรกิจเอสซีจี เดคคอร์ หรือ SCGD ชู 4 กลยุทธ์ดันยอดขายโต 2 เท่า ภายในปี 2573 รับตลาดอาเซียนทยอยฟื้นตัว ได้แก่ 1) สร้างการเติบโตให้ธุรกิจตกแต่งพื้นผิวกระเบื้องปูพื้นและบุผนัง ผ่านการดำเนินงานต่าง ๆ อาทิ ขยายการลงทุนโรงงานในพื้นที่ภาคใต้ของเวียดนาม เพิ่มยอดขายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และขยายช่องทางการจำหน่าย  2) ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ในอาเซียน และขยายการลงทุนโรงงานสุขภัณฑ์ใหม่ในอาเซียน ตั้งเป้ายอดขายสุขภัณฑ์เติบโต 2 เท่า หรือกว่า 10,000 ล้านบาท  3) ขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่อง ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการให้บริการแบบครบวงจร และเพิ่มโอกาสขายสินค้าที่เกี่ยวข้อง และ    4) ลงทุนและเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในธุรกิจหลักของบริษัท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ  นอกจากนี้ยังเน้นลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตควบคู่กันไป อาทิ โครงการติดตั้ง Hot Air Generator เพื่อลดต้นทุนพลังงานที่โรงงานในไทยอีก 2 แห่ง คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคมนี้ และโครงการปรับปรุงสายการผลิตกระเบื้องไวนิล SPC ซึ่งจะเริ่มผลิตสินค้าป้อนตลาดในไทยได้ตั้งแต่ปลายไตรมาส 2 ด้วยกำลังการผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี

ธุรกิจเอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ พลังงานสะอาดครบวงจร เติบโตต่อเนื่องตามเมกะเทรนด์โลกที่หันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ผนวกกับการสนับสนุนของภาครัฐ ทำให้ตลาดพลังงานสะอาดในประเทศขยายตัวสูง โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 511 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากสิ้นปี 2566 จากความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนจัดทำโครงการซื้อขายไฟฟ้าใหม่ ๆ โดยปีนี้ตั้งเป้ากำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 200 เมกะวัตต์สำหรับการซื้อขายไฟฟ้ากับภาคเอกชน  ส่วน ‘นวัตกรรมแบตเตอรี่กักเก็บความร้อนจากพลังงานสะอาด’ ที่เป็นความร่วมมือกับ Rondo Energy สหรัฐอเมริกา  เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่มีศักยภาพในการทำตลาดในอาเซียน จึงเป็นโอกาสในการนำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้าสู่ตลาดอาเซียนในช่วงแรก และจะขยายไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ที่เหมาะสมต่อไป ขณะเดียวกัน บริษัทสยามอุตสาหกรรมวัสดุทนไฟ จำกัด ได้ร่วมมือกับ Rondo Energy พัฒนาการผลิต ‘วัสดุกักเก็บความร้อน (Thermal Media)’ เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นวัสดุหลักสำหรับใช้ในแบตเตอรี่กักเก็บความร้อน (Heat Battery) โดยสามารถขยายกำลังการผลิตวัสดุกักเก็บความร้อน ได้ถึง 12,000 ตันต่อปี ในปลายปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับการขยายธุรกิจแบตเตอรี่กักเก็บความร้อน

นายธรรมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เศรษฐกิจโลกยังเผชิญจากความเสี่ยงจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง แต่เศรษฐกิจไทยน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นจากการท่องเที่ยว การลงทุนของต่างชาติ การอนุมัติงบประมาณปี 2567 ของภาครัฐที่จะเริ่มเบิกจ่ายในเดือนเมษายน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ เช่น การลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง ลดหย่อนภาษีเงินได้ และปล่อยสินเชื่อให้กู้ซื้อบ้านสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์  และเป็นที่น่ายินดีที่ภาครัฐให้ความสำคัญเรื่องกรีน ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมเสนอพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายในปีนี้  การสนับสนุนโครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ให้เป็นเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย  หากมีการผลักดันการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Procurement) ก็จะเป็นต้นแบบให้องค์กรอื่น ๆ ปฏิบัติตาม ซึ่งจะยิ่งช่วยกระตุ้นแนวคิดเรื่องกรีนให้เป็นรูปธรรม ลดภาวะโลกเดือดได้ รวมทั้งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว”

เอกสารแนบ

ข้อมูลสําคัญทางการเงินของเอสซีจี

ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 ในภาพรวม

             งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ประจำไตรมาส 1 ปี 2567 มีรายได้จากการขาย 124,266 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากยอดขายที่สูงขึ้นเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ มี EBITDA 12,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง ซึ่งมาจากสินค้ากรีนและการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และมีกำไรสำหรับงวด 2,425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,559 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน จากกำไรที่เพิ่มขึ้นเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ 

             เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายลดลงร้อยละ 3 ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง และปริมาณขายที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์ อย่างไรก็ตาม EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง ขณะที่กำไรสำหรับงวดลดลงร้อยละ 85 เนื่องจากไตรมาส 1 ปี 2566 มีรายการพิเศษจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics ซึ่งไม่ใช่รายการเงินสด มูลค่า 11,956 ล้านบาท ประกอบกับไตรมาสนี้ผลประกอบการของธุรกิจเคมิคอลส์ลดลง

สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice ในไตรมาส 1 ปี 2567 มีรายได้ 65,782 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 53 ของรายได้จากการขายรวม ทั้งนี้ จากยอดขายสินค้า SCG Green Choice ดังกล่าว สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 230,000 ตัน CO2

รายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทยในไตรมาส 1 ปี 2567 ทั้งสิ้น 54,585 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44 ของยอดขายรวม

โครงสร้างทางการเงินยังมั่นคงต่อเนื่อง โดยมีเงินสดและเงินสดภายใต้การบริหาร ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567 เท่ากับ 78,585 ล้านบาท เทียบกับ ณ สิ้นไตรมาส 4  ปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 68,064 ล้านบาท

สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 มีมูลค่า 939,396 ล้านบาท โดยร้อยละ 46 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน (นอกเหนือจากไทย)

ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 แยกตามรายธุรกิจ

  • SCGC ไตรมาส 1ปี 2567 มีรายได้จากการขาย 45,376 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายลดลงตามอุปสงค์ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ยังอ่อนตัว จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ดำเนินอยู่และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงการหยุดโรงงานระยองโอเลฟินส์ (ROC) เพื่อซ่อมบำรุง อย่างไรก็ตาม จากอุปทานในตลาดที่ลดลง ส่งผลให้ราคาปิโตรเคมีปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มโอเลฟินส์ จึงทำให้มี EBITDA from Operations (กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) 1,176 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 575 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ ขาดทุนสำหรับงวดเท่ากับ 1,866 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรอยู่ที่ 1,356 ล้านบาท โดยกำไรที่ลดลงเป็นผลมาจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลง และรับรู้ค่าใช้จ่ายของโรงงานปิโตรเคมี LSP ซึ่งมาจากค่าเสื่อมราคาเป็นหลัก
  • ไตรมาส 1ปี 2567 มีรายได้จากการขาย 21,399 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นฤดูกาลของการขาย แต่ลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายลดลง เป็นผลจากตลาดปูนซีเมนต์โดยรวมในประเทศที่หดตัวลง อย่างไรก็ตาม EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 3,591 ล้านบาท กำไรสำหรับงวด 1,191 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการบริหารจัดการและโครงการด้านกรีน
  • ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ไตรมาส 1ปี 2567 มีรายได้จากการขาย 38,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นฤดูกาลของการขาย ส่งผลให้ยอดขายสินค้าวัสดุก่อสร้างและธุรกิจดิสทริบิวชั่นปรับตัวดีขึ้น แต่ลดลงร้อยละ 3 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายลดลงจากตลาดสินค้าผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่หดตัวลง ขณะที่ EBITDA เท่ากับ 1,025 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง รวมถึงผลประกอบการที่ดีขึ้นของธุรกิจดิสทริบิวชั่น ส่งผลให้มีกำไรสำหรับงวด (ซึ่งรวมส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม) 582 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • แพคเกจจิ้ง หรือ SCGP ไตรมาส 1ปี 2567 มีรายได้จากการขาย 33,948 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากความต้องการบรรจุภัณฑ์โดยเฉพาะในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคเติบโตได้ดี ซึ่งได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การเตรียมสินค้าก่อนช่วงวันหยุดยาว นโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐในประเทศไทย และการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในประเทศอินโดนีเซีย ประกอบกับการปรับตัวที่ดีขึ้นของภาคส่งออกในอาเซียน และหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เป็นผลจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร และสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ  กำไรสำหรับงวด 1,725 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายและราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ในตลาดหลักและการปรับตัวที่สูงขึ้นของราคาเยื่อกระดาษทั่วโลก รวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการเครือข่ายการจัดหาวัตถุดิบท่ามกลางแนวโน้มราคาที่สูงขึ้นของวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล และเพิ่มขึ้นร้อยละ 41 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่คุณค่า
  • หรือ SCGD ไตรมาส 1 ปี 2567 มี EBITDA และกำไร เพิ่มขึ้นเป็น 854 ล้านบาท และ 258 ล้านบาท ตามลำดับ รายได้จากการขายอยู่ที่ 6,784 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกันกับไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากความต้องการของตลาดในประเทศเวียดนามอ่อนตัวลงจากวันหยุดยาวช่วงปีใหม่(TET)  ในขณะที่ยอดขายจากประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น ความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการที่บริษัทสามารถยืนราคาขายสินค้ากระเบื้องเซรามิกและสุขภัณฑ์ได้ การเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าที่มีกำไรสูง การทำโครงการลดต้นทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตต่าง ๆ และการที่ต้นทุนพลังงานที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

SCG Announces Q1/2024 Operating Results with Improved Performance from Previous Quarter,

Accelerating Green Innovations, Increasing Clean Energy Usage, and Expanding into High-Growth Markets

BANGKOK: 25 April 2024 – SCG reported its operating results for Q1/2024, showing improvement compared to the previous quarter driven by green innovations, effective cost management, rebounds in tourism and signs of economic recovery in the country. Moving forward, the global economy may be impacted by tensions in the Middle East. SCG is prepared to handle this volatility by adjusting business plans, managing supply chains effectively, and continuing steadfastly along the Inclusive Green Growth strategy. This includes increasing the share of clean energy that helps reduce costs, expediting green innovations to address global megatrends, and expanding into high-potential markets. Additionally, the Vietnam petrochemical complex is set to supply plastic resins to the global market in the third quarter.

Thammasak Sethaudom, President and CEO of SCG, said, “SCG’s Q1/2024 operating results have demonstrated improvement. Despite global economic fluctuations and downturn of the petrochemical industry, SCG effectively manages costs and consistently delivers green innovations to the market, resulting in revenue of 124,266 MB, an increase of 3% q-o-q. Additionally, EBITDA (Earnings before interest, taxes, depreciation and amortization) stood at 12,623 MB, up 16% q-o-q, with the Profit for the Period of 2,425 MB, an increase of 3,559 MB q-o-q. This success is attributed to the development of green innovations that resonate with customers by fulfilling functional needs and contributing to carbon reduction, such as Low Carbon Cement, green polymers and sustainable packaging. This is evident from the sales of SCG Green Choice reaching 65,782 MB, accounting for 53% of total sales, an increase of 1,114 MB q-o-q. At the same time, significant cost reduction has been achieved by employing environmental-friendly production processes, with Thai cement plants increasing the share of alternative fuel usage to 47%. Additionally, The Siam Cement Public Company Limited (SCC) has been listed on the Singapore Stock Exchange since April 1, providing a new avenue for foreign investors to purchase SCC shares. The response has been favorable.

SCG is accelerating progress towards its Inclusive Green Growth strategy, aiming to lead the green business sector while fostering a Net Zero society by developing green innovations to meet the high demand and further growth in the global market. SCG has recently launched Low Carbon Cement (Generation 2), which can reduce carbon emissions by 15-20% and will be available for sale shortly. Additionally, as economies in many countries and regions are tend to recover, SCG is preparing by expanding investments in high-growth markets, such as SAMEA (South Asia, Middle East, Africa). The Long Son Petrochemicals (LSP) project is set to resume operations at full capacity, gearing up for plastic resin production in the third quarter.”

SCGP (SCG Packaging) fosters quality growth throughout the supply chain, starting from the use of recovered paper materials and enhancing the efficiency of raw material management. SCGP promotes comprehensive eucalyptus cultivation to secure quality raw materials and support carbon sequestration across 31,770 rai, capturing 152,181 tons of carbon dioxide equivalent per year. SCGP continues to add value to eucalyptus woodchip through ongoing research and development, with an investment of USD 3 million in collaboration with Origin Materials, a leading technology company from the United States, to develop “Bio-based Plastic from eucalyptus woodchip.” Additionally, SCGP is enhancing production efficiency by increasing the use of clean energy, incorporating Machine Learning and Artificial Intelligence technologies to optimize production, reducing energy consumption and costs. Furthermore, SCGP is building partnerships across sectors to prepare for the growing trend of the green business.

SCG Cement and Green Solutions continues to diversify cement innovations to suit various applications. The adoption of ‘Low Carbon Cement’ has recently increased to 85%, with the introduction of Low Carbon Cement (Generation 2) scheduled for May 5. This innovation can reduce carbon dioxide emissions by 15-20% compared to international standards. This year’s goal is to convert all cement production processes in Thailand to Low Carbon Cement (Generation 2) while further advancing other low-carbon products such as ‘CPAC Low Carbon Concrete,’ which reduces carbon emissions by at least 25 kilograms per cubic meter. This reduction is equivalent to planting 25 trees for every 10 cubic meters of concrete used, while offering properties comparable or superior to conventional products. Additionally, the ‘Tiger Décor Low Carbon’ is a ready-mix cement low-carbon formula for flooring and decorative wall applications which emits significantly less carbon dioxide by 38% compared to Portland cement. Moreover, cement products are tailored to meet specific customer needs, such as ‘SCG Low Carbon Durable Structural Cement – Southern Coastal Formula,’ customized for the southern region’s terrain; ‘CPAC Coastal Concrete and CPAC Marine Concrete’ designed for the southern, eastern and western regions, which protect coastal structures and buildings from sea exposure; and ‘CPAC Saline Soil Resistance Concrete’ tailored for the northeastern region, an area with saline soil, providing resistance to underground accumulation of chlorides and sulfates. Additionally, cement plants in Thailand have increased the share of alternative fuel usage to 47%, while the Thungsong Cement Plant has improved production processes for greater energy efficiency to support the shift towards alternative fuel use.

SCG Smart Living is committed to developing building material products and solutions that meet customers’ needs. Among them are the ‘SCG HEIM High Ceiling house,’ a new modern style home designed for contemporary living with relaxation spaces and a double space central hall, while maintaining the trusted construction quality and residential technology of SCG HEIM; the ‘SCG Metal Roof Clip Lock 700,’ which features clip lock installation and solves the issue of screw head leakage, set to be available in the second quarter; ‘SCG Modeena COFF,’ a decorative wall material made from fiber cement, which incorporates 48% of recycled materials from operational process and waste from other businesses instead of virgin fiber to reduce carbon emissions while maintaining strength, durability, and aesthetics. Additionally, SCG is set to unveil its new brand, ‘ONNEX by SCG Smart Living,’ at the Architect Expo 2024, aggressively entering the smart solution business for homes and buildings. This effort integrates SCG’s innovations, technologies and expertise to enhance the quality of living, focusing on energy savings, indoor air quality improvement and safety enhancements, including solar roof systems and solutions for managing energy usage in buildings.

SCG Distribution & Retail continues to aggressively enter continuously high-potential new markets such as the SAMEA region, which boasts an average GDP of over 70% and accounts for over 40% of the world’s population. SCG International’s office in Saudi Arabia manages end-to-end supply chain operations for the region, leveraging SCG’s entire business network, covering cement, building materials, paper and packaging, as well as raw materials and industrial supplies. Plans are underway to transport goods from Saudi Arabia to countries worldwide and to source products from other regions to Saudi Arabia. In the ASEAN market, it manufactures bagged cement products targeting the high-growth economy segment, including brands like 5-Star Cement in Cambodia, ADAMAX in Vietnam, and Bezt in Indonesia. In domestic retail, SCG has raised awareness for SCG HOME. Recently, a grand opening event was held for the Khon Kaen store branch.

SCGC (SCG Chemicals) is advancing to maximize sales of ‘SCGC GREEN POLYMERTM,’ seizing the opportunity of the petrochemical industry recovery, which shows signs of improvement in the second half of 2024. Sales in the previous quarter reached 38,000 tons, while achieved 218,000 tons of sales in 2023, in line with the target of 1 million tons by 2030. Additionally, SCGC has collaborated with leading partners such as HomePro to introduce ‘Closed-Loop Circular Appliances,’ presenting the first-of-its-kind recycling process for used electrical appliances to transform them into high-quality green polymers for new products. The launch under the company Sirplaste SA in Portugal marks a step forward with ‘SIRPRIME,’ a high-quality, odorless PCR HDPE Resin (PCR HDPE), made from 100% household plastic waste, utilizing efficient recycling technology to eliminate odors and contaminants, certified by EuCertPlast and RecyClass standards in Europe. Meanwhile, the ‘Long Son Petrochemicals Complex (LSP)’ in Vietnam is in the phase of thorough evaluation and inspection of machinery to ensure more safety. It is expected to resume testing of the machinery and be ready for commercial production in the third quarter.

SCGD (SCG Decor) highlighting four strategies to multiply its sales growth by 2 times by 2030, in response to the gradual recovery of the ASEAN market. These strategies include: 1) Driving growth in the business of surface decorations for tiles and wall coverings through various operations, such as expanding plant investment in the South of Vietnam; increasing high-value added product portfolio; and channel expansion; 2) Expanding the sanitary ware business in ASEAN and investing in new sanitary ware plant, targeting to increase in sanitary ware sales by 2 times or more than 10,000 MB; 3) Expanding into Complementary products and services, reinforcing its position as a leader in end-to-end solutions, and enhancing opportunities to sell Complementary products; and 4) M&P (Merger & Partnership) within the key business areas domestically and internationally. Furthermore, the Company emphasizes investments to enhance efficiency and reduce production costs, including the Hot Air Generator installation projects that reduce energy costs at 2 plants in Thailand, expected to be completed in May this year, along with a SPC vinyl tile production line project, which will start supplying products to the Thai market by the end of the second quarter, with a production capacity of 1.8 million square meters per year.

SCG Cleanergy, the end-to-end Clean Energy Business, continues to grow in line with the global megatrend shifting towards cleaner energy usage, coupled with government support, resulting in expansion in the clean energy market in Thailand. Currently, the total production capacity has increased by 13% from the end of 2023, reaching 511 megawatts, through collaborations with both the public and private sectors in new electricity trading projects. This year, the target is to increase production capacity by 200 megawatts for electricity trading with the private sector. In the area of innovative battery technology for storing heat from clean energy, in partnership with Rondo Energy from the United States, SCG Cleanergy has the potential to handle marketing in ASEAN, thereby providing an opportunity to introduce this technology into the ASEAN market initially and potentially expand to other suitable regions later. Simultaneously, The Siam Refractory Industry Company Limited has collaborated with Rondo Energy to develop the production of ‘Thermal Media’ for the first time, which is a core material for use in heat batteries. This collaboration has enabled the expansion of Thermal Media production capacity to 12,000 tons per year by the end of last year, to support the growing heat battery business.

Thammasak concluded, “While the global economy may fluctuate due to conflicts in the Middle East, Thailand’s economy is expected to improve owing to tourism, foreign investment, the approval of the 2024 fiscal budget by the government, set to begin disbursement in April, and economic stimulus measures such as reducing property transfer fees, tax deductions, and releasing credit for home purchases in the real estate sector. It is also pleasing that the government prioritizes green initiatives, including proposing a climate change bill this year, supporting the Saraburi Sandbox project to make it Thailand’s first low-carbon model city. Encouraging green procurement practices will set an example for other organizations to follow suit, further promoting green concepts and mitigating the climate crisis, ultimately benefiting the country’s economy in the long run.”

Attached Document

Key Financial Information of SCG

Q1/2024 Overall Performance

SCG’s unaudited Operating Results for Q1/2024 registered the Revenue from Sales at 124,266 MB, an increase of 3% q-o-q, due to higher Revenue from Sales from most businesses. EBITDA reached 12,623 MB, up by 16% q-o-q, attributed to the better performance of the businesses related to cement and construction which had green product offering and efficiency initiatives. Similarly, Profit for the Period amounted to 2,425 MB, an increase of 3,559 MB q-o-q, mainly due to improved profitability in most businesses.

             Revenue from Sales decreased by 3% y-o-y, mainly from businesses related to cement and construction as well as reduced sales volumes in the Chemicals business. However, EBITDA increased by 4% mainly from higher contribution of the businesses related to cement and construction, while the Profit for the Period decreased by 85%. This was because Q1/2023 included non-recurring gain from fair value adjustment in SCG Logistics of 11,956 MB, which was a non-cash transaction, as well as lower Chemicals performance.

Revenue from Sales of SCG Green Choice in Q1/2024 reported 65,782 MB or 53% of total Revenue from Sales. The sales of SCG Green Choice products contributed to a reduction of 230,000 tons of CO2 emissions.

Revenue from operations outside of Thailand, including export sales from Thailand, registered 54,585 MB in Q1/2024, or 44% of total Revenue from Sales.

SCG’s financial position remained consistently robust, with cash and cash equivalents at the end of Q1/2024 totaling 78,585 MB, compared to 68,064 MB at the end of Q4/2023.

SCG’s total assets as of March 31, 2024, amounted to 939,396 MB, of which 46% represented assets in ASEAN (excluding Thailand).

The Q1/2024 operating results by business units are as follows:

  • SCGC (SCG Chemicals) recorded Q1/2024 Revenue from Sales at 45,376 MB, a decrease of 2% q-o-q and 3% y-o-y. This decline was primarily due to reduced sales volumes in the petrochemical industry, which remained weak due to geopolitical tensions and the global economic slowdown, including the shutdown of the Rayong Olefins (ROC) plant for maintenance. However, market constraints led to an upward adjustment in petrochemical prices, particularly in the olefins group, resulting in EBITDA from Operations (Earnings before interest, taxes, depreciation, and amortization) of 1,176 MB, an increase of 575 MB q-o-q. Nevertheless, Loss for the Period registered at 1,866 MB compared to Profit for the Period of 1,356 MB in the previous quarter, profit decrease resulted from lower equity income from associates and recorded Long Son Petrochemicals Complex (LSP) start-up expenses which mainly from depreciation.
  • SCG Cement and Green Solutions recorded Q1/2024 Revenue from Sales at 21,399 MB, an increase of 6% q-o-q. This growth was driven by the season for cement sales. However, it decreased by 6% y-o-y due to reduced sales volumes resulting from a contraction in the overall cement market in the country. Meanwhile, EBITDA increased by 14% y-o-y, reaching 3,591 MB, and the Profit for the Period increased by 46%, reaching 1,191 MB, attributed to green initiatives.
  • SCG Smart Living and SCG Distribution & Retail recorded Q1/2024 Revenue from Sales at 38,402 MB, an increase of 6% q-o-q. This rise was due to the high season of building materials sales which led to the increase sales volumes for building materials and Distribution business. However, it decreased by 3% y-o-y due to decreased sales volumes from a contraction in the building materials market. Meanwhile, EBITDA amounted to 1,025 MB, increasing by 34% y-o-y, attributed to improved management to enhance the competitiveness of the construction product group, as well as improved performance of SCG Distribution & Retail, resulting in the Profit for the Period (included equity income from associates) of 582 MB, increasing by 46% y-o-y.
  • SCGP (SCG Packaging) recorded Q1/2024 Revenue from Sales at 33,948 MB, an increase of 6% q-o-q from all major business segments driven by resilient demand in consumer-linked sector supported by tourism, pre-holiday restocking, spending stimulus campaign in Thailand, and expenditure related to election in Indonesia, and improved ASEAN exports. Furthermore, compared to the same period of the previous year, Revenue from Sales increased by 1%, primarily due to higher sales volumes in the integrated packaging business and the fibrous business, primarily due to the recovery of domestic economic activities. Profit for the Period of 1,725 MB, representing a 42% increase q-o-q driven by higher packaging paper sales volume and selling price in strategic markets, rise in global pulp price, and flexibility and resiliency in raw materials sourcing network despite the upward trend of global recovered paper (RCP). Compared to last year, Profit for the Period increased 41% y-o-y from higher sales volume and production utilization across all major product categories, coupled with effective cost management throughout the entire value chain.
  • SCGD (SCG Decor) recorded Q1/2024 EBITDA and the Profit for the Period increased to 854 MB and 258 MB, respectively; although, Revenue from Sales at 6,784 MB, is similar to the previous quarter because of the soft demand during the long new year holiday in Vietnam (TET) against the rising sales volume in Thailand. This profitability improvement was due to the company’s ability to maintain product pricing for ceramic tiles and sanitary ware, selling a higher proportion of high-margin products, a series of cost reduction and production efficiency improvement projects, along with continuously decreasing energy costs.