เอสซีจี แถลงผลประกอบการ ปี 2566 ท้าทายแต่ไม่ถอย เร่งเครื่องธุรกิจกรีน ส่งออกปูนคาร์บอนต่ำสู่อเมริกา ปิโตรเคมีเวียดนามเตรียมป้อนเม็ดพลาสติกสู่ตลาดโลก

0
311

เอสซีจี แถลงผลประกอบการปี 2566 ธุรกิจมั่นคง แม้ยอดขายลดลงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เผยแผนเร่งเครื่องธุรกิจปี 2567 สู้ทุกความท้าทาย รุกธุรกิจกรีน มุ่งสร้างการเติบโตพร้อมสังคม Net Zero งบลงทุน 40,000 ล้านบาท ดันนวัตกรรมรักษ์โลก-ลุยพลังงานสะอาด-ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งออกปูนคาร์บอนต่ำสู่ตลาดอเมริกา ปิโตรเคมีเวียดนาม LSP เตรียมป้อนนวัตกรรมเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงสู่ตลาดโลก ปักหมุดซาอุฯ เชื่อมต่อการค้าทั่วโลก เดินหน้าทรานส์ฟอร์มโครงสร้างธุรกิจ สร้างความคล่องตัว แข็งแกร่ง เติบโตไกล ล่าสุด คว้าที่หนึ่ง ดัชนี ESG ชั้นนำของโลก Morningstar Sustainalytics

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “ผลประกอบการ เอสซีจี ปี 2566 มั่นคง แม้ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก จีน และอาเซียนชะลอตัว ตลาดปิโตรเคมียังอ่อนตัว ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ลดลง มีรายได้ 499,646 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12 จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง และการไม่รวมยอดขายของ SCG Logistics กำไร 25,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากปีก่อน สาเหตุหลักจากกำไรของการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2566

ไตรมาส 4 ปี 2566 มีรายได้ 120,618 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์และธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งไม่รวมรายการพิเศษ 502 ล้านบาท ทั้งนี้ มีขาดทุนสำหรับงวด 1,134 ล้านบาท จากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในเมียนมา และรวมผลประกอบการของโรงงานปิโตรเคมี ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals – LSP) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ อย่างไรก็ตาม เอสซีจียังคงรักษาความมั่นคงของสถานะการเงินได้อย่างต่อเนื่อง สิ้นปี 2566 มีเงินสดคงเหลือ 68,000 ล้านบาท

ปี 2567 เอสซีจีทุกกลุ่มธุรกิจเร่งเครื่องสร้างการเติบโตอย่างเต็มที่ทั้งไทยและภูมิภาคอาเซียน ด้วยนวัตกรรมปูนคาร์บอนต่ำ สมาร์ทโซลูชันเพื่อการอยู่อาศัย พลาสติกรักษ์โลก บรรจุภัณฑ์ยั่งยืนที่ใช้ซ้ำ รีไซเคิลได้ พลังงานสะอาดครบวงจร และนวัตกรรมเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงจากโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เน้นบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ คว้าโอกาสจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริการของไทย คาดว่าตลาดอาเซียนจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะอินโดนีเซียและเวียดนาม มุ่งสู่ผู้นำธุรกิจกรีนที่สร้างการเติบโตให้ธุรกิจพร้อมสร้างสังคม Net Zero ที่น่าอยู่สำหรับทุกคน ตั้งงบลงทุน 40,000 ล้านบาท เน้นลงทุนนวัตกรรมรักษ์โลก พลังงานสะอาด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีความต้องการและเติบโตได้อีกมาก สะท้อนจากยอดขาย SCG Green Choice ปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 54 ของยอดขายทั้งหมด อีกทั้งเร่งพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High-Value Added Products & Services – HVA) เชื่อมั่นสามารถเพิ่มความหลากหลาย ตอบโจทย์ลูกค้าตรงใจ ฉับไว พร้อมเร่งทรานส์ฟอร์มโครงสร้างธุรกิจตามกลยุทธ์สร้างความคล่องตัว แข็งแกร่งและเติบโตระยะยาว เพื่อรับความท้าทายต่าง ๆ ให้ทันท่วงที เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานและค่าขนส่งผันผวน เศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวไม่เต็มที่

ธุรกิจเคมิคอลส์ หรือ SCGC ตลาดปิโตรเคมีคาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จากความต้องการสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นและอุปทานที่ลดลง โดยธุรกิจเร่งพัฒนาพลาสติกรักษ์โลก รวมทั้งสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High-Value Added Products & Services – HVA) ให้มีสัดส่วนสูงขึ้น ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาตลาดมีความต้องการมากขึ้น ส่งผลให้มียอดขายร้อยละ 39 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งจะช่วยหนุนความสามารถการแข่งขันในภาวะตลาดฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี ล่าสุด ‘โครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์’ ดำเนินการก่อสร้างลุล่วงตามแผนภายใต้งบประมาณที่กำหนดไว้ การเดินเครื่องจักรและทดสอบประสิทธิภาพการเดินโรงงานทั้งระบบเป็นไปได้ด้วยดี คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 สำหรับนวัตกรรมพลาสติกรักษ์โลก ‘SCGC GREEN POLYMERTM’ ในปีที่ผ่านมามียอดขายเติบโตเป็นที่น่าพอใจ อยู่ที่ 218,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 56 จากปีก่อน โดยมุ่งสู่ Green polymer 1 ล้านตัน ในปี 2573

นอกจากนี้ ธุรกิจยังเร่งขยายเข้าสู่ ‘อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า’ ด้วยนวัตกรรมพลาสติกสำหรับการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์น้ำหนักเบา ช่วยประหยัดพลังงาน และความร่วมมือกับ Denka ในการผลิตและจำหน่ายอะเซทิลีนแบล็ก (Acetylene Black) ส่วนประกอบสำคัญสำหรับนำไฟฟ้าในการผลิตขั้วแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบชาร์จไฟได้สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีปริมาณความต้องการสูง

ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน บริหารต้นทุนพลังงานได้ดี ปี 2566 เพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนมาอยู่ที่ร้อยละ 40 สำหรับปี 2567 พร้อมเดินหน้าการผลิตและส่งมอบโซลูชันรับการฟื้นตัวของตลาดไทย ทั้งส่วนของอสังหาริมทรัพย์และโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ควบคู่กับตอบสนองความต้องการของตลาดอาเซียนที่ส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น โดยมุ่งนำเสนอโซลูชันการออกแบบอาคารที่ช่วยคำนวณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในการก่อสร้าง ด้วยแพลตฟอร์ม ‘KITCARBON’ พร้อมทั้งเดินหน้า ‘ปูนคาร์บอนต่ำ’ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้านคุณภาพที่มีความแข็งแรง ทนทานและผิวเรียบเนียนเป็นพิเศษ โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากปีก่อน ล่าสุด ขยายการส่งออกไปประเทศสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย ปีนี้เตรียมออกปูนคาร์บอนต่ำ เจนเนเรชันที่ 2 ซึ่งลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นจากรุ่นแรก อีกร้อยละ 5

ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง เติบโตต่อเนื่อง เน้นบริหารจัดการต้นทุนด้วยการปรับใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต พร้อมทั้งพัฒนาสมาร์ทโซลูชันตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ที่ต้องการประหยัดพลังงาน มีสุขอนามัยที่ดี ห่างไกล PM 2.5 และมีความปลอดภัยในการใช้ชีวิต เช่น ‘SCG Active Air Quality’ นวัตกรรมเติมอากาศดีให้บ้าน ป้องกันมลพิษ ฝุ่น PM 2.5 เชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัส ‘หลังคาเอสซีจี เมทัลรูฟ รุ่น คอมฟอร์ท ลอน Snap Lock’ นวัตกรรมหลังคาช่วยป้องกันเสียงจากภายนอก และกันความร้อน ประหยัดการใช้พลังงานภายในบ้าน และ ‘SCG Solar Roof Solutions’ ซึ่งมียอดขายเติบโตโดดเด่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 105 จากปีก่อน ทั้งยังมุ่งขยายสมาร์ทโซลูชันสู่ตลาดใหม่ ๆ อาทิ ติดตั้งนวัตกรรมบำบัดอากาศเสียพร้อมประหยัดพลังงาน ‘SCG Air Scrubber’ ให้อาคาร Keppel Bay Tower โครงการอสังหาฯ ระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสิงคโปร์ และเป็นอาคารแห่งแรกในสิงคโปร์ที่ได้รางวัล Green Mark Platinum (Zero Energy) หรือรางวัลอาคารประหยัดพลังงาน ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวช่วยประหยัดพลังงานจากระบบปรับอากาศได้สูงสุด ร้อยละ 30

ธุรกิจเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล เร่งขยายความแข็งแกร่งสู่ตลาดที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง อย่างภูมิภาค SAMEA (เอเซียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา) โดย SCG International ตั้งสำนักงานในกรุงริยาด ซาอุดิอาระเบียอย่างเป็นทางการ พร้อมเป็น International Supply Chain Partner บริหารจัดการตั้งแต่การหาแหล่งผลิตสินค้าจนถึงการสร้างตลาดให้คู่ค้าจากทั่วทุกมุมโลก ขยายโอกาสธุรกิจและเจาะโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ (Giga Project) ร่วมสร้างสังคม Net Zero ผ่านกลุ่มสินค้าซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างรักษ์โลก พร้อมด้วยกลุ่มสินค้าวัตถุดิบ ชิ้นส่วนอุตสาหกรรม กระดาษและแพคเกจจิ้ง

ธุรกิจเอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ พลังงานสะอาดครบวงจร เติบโตต่อเนื่องและมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกมากจากความต้องการใช้พลังงานสะอาดที่มากขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของโลกและจากจุดแข็งของธุรกิจด้านการบริการที่มีความน่าเชื่อถือ โดดเด่นด้วยระบบ Smart Grid ที่ช่วยให้การซื้อ-ขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเข้าถึงได้สะดวกยิ่งขึ้น ปี 2566 มีกำลังการผลิตที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ รวม 450 เมกะวัตต์ ล่าสุด ติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ในหลายพื้นที่ อาทิ กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน บางปะกง นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ รวมถึงกลุ่มโรงพยาบาลพญาไทและเปาโล เตรียมขยายไปยังตลาดอาเซียน ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ในปี 2567

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง หรือ SCGP จากไตรมาส 4 ปี 2566 ความต้องการภาคบริโภคในเวียดนาม และอินโดนีเซียเริ่มฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสินค้าส่งออก โดยเฉพาะอาหารแช่แข็งและอาหารสัตว์เลี้ยง และในปี 2567 อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น รวมถึงมีแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวและส่งออก SCGP จึงมุ่งนำเสนอโซลูชันบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมทั้งขยายกำลังการผลิตและ M&P (Merger & Partnership) ในธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ บรรจุภัณฑ์อาหาร และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ Bio-Solutions ที่เป็นเมกะเทรนด์และเติบโตสูง ควบคู่กับบริหารต้นทุนและการผลิตสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ นำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต เพิ่มสัดส่วนใช้พลังงานทางเลือกเป็นร้อยละ 35 ของการใช้พลังงานทั้งหมด เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจด้วย ESG (Environmental, Social, Governance) และการพัฒนาบุคลากร เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

นายธรรมศักดิ์ กล่าวปิดท้ายว่า “เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี ซึ่งมีโอกาสเติบโตอีกมาก หากเร่งผลักดันโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพร้อมเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และอำนวยความสะดวกในการลงทุนเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ควรส่งเสริมการดำเนินธุรกิจตาม ESG ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกให้การยอมรับ เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว ล่าสุด เอสซีจี ได้รับดัชนีความยั่งยืนชั้นนำโลก ESG Industry Top Rated ลำดับที่ 1 จาก 125 บริษัทในกลุ่ม Industrial Conglomerate ทั่วโลก ซึ่งจัดอันดับโดย Morningstar Sustainalytics สะท้อนถึงธุรกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่กับการพัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน จากการดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ ESG 4 Plus (มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ – ภายใต้เชื่อมั่น โปร่งใส)

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 6.0 บาท รวมเป็นเงิน 7,200 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 54 ของกำไรไม่รวมรายการพิเศษ ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับครึ่งปีแรกในอัตราหุ้นละ 2.5 บาท เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2566 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 3.5 บาท

การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวให้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับของบริษัท ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 5 เมษายน 2567 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 4 เมษายน 2567) โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 เมษายน 2567 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี”
SCG Announces FY2023 Operating Results: Unyielding in Facing Challenges,
Accelerates Green Businesses, Exports Low Carbon Cement to the USA;
Vietnam’s Petrochemical Complex Sets to Supply Polymers to Global Ma

SCG announced its operating results for FY2023, demonstrating robustness and resilience despite a decrease in sales due to the global economic slowdown. SCG revealed plans to accelerate its business in 2024, ready to tackle all challenges and aggressively pursue green businesses aimed at fostering growth alongside a net zero society. With an investment budget of 40,000 MB, SCG is pushing for green innovations, advancing clean energy, and reducing greenhouse gas emissions. SCG has exported Low Carbon Cement to the US market. Long Son Petrochemicals Complex in Vietnam plans to feed high-quality polymer innovations to the global market. SCG is marking its presence in Saudi Arabia, connecting global trade. SCG is moving forward with a business structure transformation to enhance agility, resilience, and extensive growth. Most recently, SCG has achieved the No.1 position in the global ESG index by Morningstar Sustainalytics.
Thammasak Sethaudom, President and CEO of SCG, said, “SCG’s operating results for FY2023 remained robust, despite the impact of the global economic downturn, including slowdowns in China and ASEAN. The petrochemical market was weak, and the demand for cement declined. The Revenue from Sales was 499,646 MB, a decrease of 12% y-o-y. The primary reason for this decline was the downturn in chemical product prices and the exclusion from SCG Logistics Sales. The profit was 25,915 MB, an increase of 21% y-o-y. This increase was mainly due to the profit from the fair value adjustment of investments in the first half of 2023.
In Q4/2023, SCG reported Revenue from Sales of 120,618 MB, marking a decrease of 4% q-o-q. This decline was due to lower sales volumes in Chemicals Business and Cement-Building Materials Business. Operating profit, excluding extra items, was 502 MB. However, Loss for the Period stood at 1,134 MB due to the cement asset impairment in Myanmar and Long Son Petrochemicals Complex performance, which was mainly fixed cost, ending the year 2023 with a cash balance of 68,000 MB.
In 2024, SCG is gearing up for full-scale growth in both Thailand and the ASEAN markets across all business groups. This includes the introduction of Low Carbon Cement innovations, smart living solutions, green polymers, sustainable packaging solutions that are reusable and recyclable, end-to-end clean energy solutions, as well as high-quality polymers from the Long Son Petrochemicals Complex. SCG is focused on efficient cost management and seizes opportunities from the recovery of Thailand’s tourism and service sectors. The ASEAN market is expected to gradually improve, especially in Indonesia and Vietnam. Aiming to lead in green business that fosters growth while creating a net zero society that is livable for everyone, SCG has set an investment budget of 40,000 MB. This investment is primarily in green innovations, clean energy, and greenhouse gas emission reduction, which have significant potential for demand and growth, as reflected in the sales of SCG Green Choice products in 2023, which accounted for 54% of total sales. Furthermore, SCG is accelerating the development of High-Value Added Products & Services (HVA) to diversify and meet customer needs promptly. SCG is also committed to transforming its business structure in line with the strategy to enhance agility, strength, and long-term growth, to effectively meet challenges in a timely manner, such as international conflicts leading to fluctuating energy costs and transportation expenses or the global economy yet to fully recover.
SCGC (Chemicals Business) expects a recovery of the petrochemical market in the second half of 2024, driven by improving demand and lower new supply additions. SCGC is set to accelerate the development of green products and High-Value Added Products & Services (HVA), aiming to increase market share in response to the high demand experienced recently. As a result, HVA sales increased to 39% compared to last year, which is expected to substantially support the company’s competitive capability as the market recovers. The recent development of ‘the Long Son Petrochemicals Complex’ includes a successful start-up as planned and within budget, while the machinery operations and comprehensive plant performance test runs have been proceeding smoothly and are planned to be completed in Q1/2024. In 2023, ‘SCGC GREEN POLYMERTM’ showed satisfactory growth, achieving sales of 218,000 tons of green polymers, an increase of 56% from the previous year. SCGC set the target to produce 1 million tons of green polymers by 2030. Additionally, the business is rapidly expanding into the ‘Electric Vehicle Manufacturing Industry Value Chain’ with innovative lightweight plastic components for energy saving. For Denka JV, SCGC invested in manufacturing Acetylene black, a conductive material used in EV batteries, which are in high demand.
SCG Cement and Green Solution has effectively managed its energy costs. In 2023, it increased the proportion of alternative fuel usage to 40%. For 2024, the business is poised to advance production and delivery of solutions in response to the recovery of the Thai market, including both real estate and construction projects. This effort is coupled with meeting the demands of the ASEAN markets, which shows signs of improvement. The business is focusing on offering building design solutions that enable the calculation of carbon dioxide emissions in construction through the ‘KITCARBON’ platform. Additionally, it is progressing with ‘Low Carbon Cement,’ which has gained recognition both domestically and internationally for its quality, strength, durability, and particularly smooth finish. Sales have increased by 15% from the previous year. Most recently, the business expanded exports to the United States and Malaysia. This year, it is preparing to launch the second generation of Low Carbon Cement, which reduces carbon dioxide emissions by an additional 5% compared to the first generation.
SCG Smart Living has shown continuous growth, focusing on cost efficient management by integrating clean energy into its production processes. It has also developed smart solutions tailored to meet modern lifestyles that prioritize energy savings, good hygiene, protection from PM 2.5, and safety. Innovations include ‘SCG Active Air Quality,’ which improves indoor air by preventing pollution, dust, PM 2.5, germs, bacteria, and viruses; ‘SCG Metal Roof – Comfort Snap Lock series,’ a roofing innovation that reduces outside noise and provides heat protection, thus saving energy inside the home; and ‘SCG Solar Roof Solutions,’ which has seen a remarkable sales increase of 105% from the previous year. The business is also expanding its smart solutions to new markets, such as installing the energy-saving & improves indoor air quality ‘SCG Air Scrubber’ in Keppel Bay Tower, Singapore’s largest global real estate project and the first building in Singapore to obtain the Green Mark Platinum (Zero Energy) award for energy-efficient building. This innovation can save up to 30% of energy from air conditioning systems.
SCG Distribution & Retail is rapidly expanding its strength into high-growth economic markets, specifically the SAMEA region (South Asia, Middle East, and Africa). SCG International has officially established an office in Riyadh, Saudi Arabia, and is ready to serve as an International Supply Chain Partner, managing everything from sourcing products to creating markets for partners from around the world. The goal is to expand business opportunities and penetrate large-scale construction projects (Giga Project), contributing to the creation of a net zero society through a portfolio of green cement and building material products, along with raw materials, industrial components, paper, and packaging.
SCG Cleanergy, the end-to-end Clean Energy Business, is experiencing continuous growth with significant potential for further expansion, driven by the increasing demand for clean energy in alignment with global carbon reduction initiatives. Its reliability in service offerings is a key strength, notably highlighted by the smart grid system that enhances accessbility to electricity trading from clean energy sources. In 2023, the business had an operational capacity of 450 megawatts. The latest installations include solar energy facilities in various locations, including the industrial estate groups such as Saha-Union Group in Bang Pakong and the Amata City Industrial Estate Group, as well as the healthcare group such as Phyathai-Paolo Hospital Group. Furthermore, SCG Cleanergy is gearing up for expansion into the ASEAN market, targeting Vietnam, the Philippines, and Indonesia in 2024.
SCGP (Packaging Business) witnessed a rebound in packaging demand in Vietnam, while Indonesia began showing signs of recovery, especially in the export sectors of frozen food and pet food in Q4/2023. Looking ahead to 2024, the packaging industry is showing signs of improvement, including plans to stimulate tourism and exports. SCGP is focusing on offering packaging solutions for the food and beverage sector, expanding on its production capacity and Merger & Partnership (M&P) in the medical supplies & labware business, foodservice packaging, and bio-solutions, a high-growth megatrend. Alongside cost management and efficient production, SCGP is integrating technologies into its manufacturing processes and increasing its use of alternative energy to 35% of its total energy consumption. SCGP is driving its business forward with ESG (Environmental, Social, Governance) framework and people development, continuously strengthening the business.
Thammasak concluded, “The Thai economy is showing good signs of